ค้นหา
Latest topics
» Who’s the KING? } 16 [END]by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:30 pm
» Who’s The KING? } 15 - Special part form Pramuk.
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:25 pm
» Who’s the KING? } 15
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:23 pm
» Who’s the KING? } 14
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:09 pm
» Who’s the KING? } 13
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:01 pm
» Who’s the KING? } 12
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:50 pm
» Who’s the KING? } 11
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:40 pm
» Who’s the KING? } 10
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 5:59 pm
» Who’s the KING? } 9
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:39 pm
» Who’s the KING? } 8
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:31 pm
» Who’s the KING? } 7
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:19 pm
» Who’s the KING? } 6
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 1:49 pm
» Who’s the KING? } 5
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:57 am
» Who’s the KING? } 4
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #2 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:26 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #1
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:13 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /14 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:03 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /13
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:54 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /12
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /11
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:33 am
Who’s the KING? } 15
4 posters
หน้า 1 จาก 1
Who’s the KING? } 15
Who’s The KING?
15
“หืม มึงเรียกมาเหรอ”
“เปล่านะเปล่า”
ตอนนี้เรียกได้ว่าบรรยากาศในห้องผมเย็นยะเยือกแบบสุดๆ ตอนที่นรินทร์เดินตามผมเข้ามาในห้องแล้วเจอหน้ากับประมุขที่นั่งอยู่บนโซฟาผมรู้สึกเลยว่าตัวเองค่อยๆ ตัวลีบเล็กลงจนแทบจะกลายเป็นเศษดิน ที่พอจะเห็นก็แค่การที่พวกเขาพยักหน้าใส่กันโดยไร้ซึ่งคำพูดในการกล่าวทักทายก่อนที่นรินทร์จะเดินไปนั่งอีกมุมของโซฟา ผมขอตัวเอาของมาเก็บอย่างเกร็งๆ พอดีที่ไอ้บุ๊คอาบน้ำเสร็จแล้วเดินมาหาผมที่ห้องครัว มันคงเห็นสองคนนั้นเรียบร้อยแล้วละถึงได้ถามออกมา
“มาเอง มาเองหมดเลย ทีจริงพวกนั้นชวนกูออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายละ แต่มึงป่วยกูเลยไม่ไป”
“เพราะอย่างนี้พวกมันเลยมาหาที่นี่สินะ”
“คงงั้น”
“แล้วทำไงอ่ะ ชวนกินข้าวกันสี่คน?”
“มันก็คงต้องอย่างนั้นแหละ”
“แต่สองคนนั้นไม่ค่อยถูกกันนี่”
จริงอย่างที่มันว่า พวกนี้มันไม่ถูกกันแล้วจะร่วมโต๊ะกันยังไง ไม่รู้ด้วยว่าออกไปแล้วควรจะพูดอะไรดี ถ้าชวนอยู่ทานข้าวด้วยกันทั้งคู่พวกมันจะอยู่กันไหมละ แล้วตอนกินข้าวจะไม่เกร็งแย่เหรอ แล้วจะหาเรื่องอะไรคุยถึงจะไม่เงียบ แล้วเรื่องไหนที่พวกนั้นจะพอคุยด้วยกันได้ โว้ยยยยยย เครียด นี่คิดเยอะว่าตอนสอบอีกมั้ง
“เดี๋ยวกูออกไปชวนเองแล้วกัน” ผมพยักหน้าหงึกหงักยกหน้าที่ให้มันไป ส่วนตัวเองก็มารื้อดูของที่พวกนั้นซื้อมา กับข้าวเต็มไปหมด แต่ของประมุขจะมีถุงหนึ่งที่เป็นอาหารเสริมและของสำหรับคนป่วยทั้งถุง ผมเอากับข้าวออกมาตั้งบนโต๊ะแต่ก็ยังไม่ได้จัดลงจาน ก่อนจะเดินตามไปไอ้บุ๊คออกไป
“ไอ้มิงค์ฝากของมาให้ด้วย ถุงใหญ่อ่ะ ของมึงคนเดียว”
“เหรอ กูต้องฝากคำขอบคุณไปไหม”
“ได้ก็ดี เพื่อนกูจะได้ดีใจ” พอออกมาก็ได้ยินบุ๊คคุยกับประมุขพอดี ที่แท้ก็ไอ้มิงค์เพื่อนมันฝากมานี่เอง ว่าแล้วมันสองคนต้องมีซัมติงกันแหงๆ รอก่อน เดี๋ยวจะเค้นให้หนักเลย นรินทร์นั่งเงียบในขณะที่ประมุขมีไอ้บุ๊คคุยด้วยผมเลยตรงเข้าไปหาเขาแทน
“อยู่กินข้าวด้วยกันไหม”
“ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้นอยู่แล้ว” ผมยิ้มให้เขาแล้วหันไปถามอีกคนที่อยู่ตรงข้ามกัน “มึงอยู่กินด้วยกันป่ะ” มันนิ่งไปสักพักก่อนจะส่ายหัวออกมา ผมเอียงคอสงสัย
“ไอ้มิงค์แค่ฝากให้ซื้อของมาให้เพื่อนมึงเฉยๆ”
“ยังไงก็น่าจะอยู่กินด้วยสักแปปนะ ซื้อกันมาตั้งเยอะแยะ” ผมว่าไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศกรุ่นๆ ระหว่างทั้งสองคนเลยสักนิด “งั้นไปกินข้าวกันเถอะ”
“ยังไงกูก็คงกลับก่อนแหละ วันนี้ว่าจะกลับบ้านด้วย” ประมุขพูดขัดขึ้นมาแล้วเดินไปที่ประตู ผมมองตาอย่างงงๆ หันไปมองที่นรินทร์เล็กน้อยเห็นเขายิ้มๆ มาให้ก่อนจะเดินตามบุ๊คเข้าไปในห้อง ผมมองไปที่ห้องครัวทีที่ประตูทีก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่ประตูห้อง
“รีบมากเลยเหรอ”
“อย่างที่บอกว่าจะกลับบ้าน ข้าวปุ้นร้องหา” รู้สึกแปลกๆ กับข้อแก้ตัวของมันนิดหน่อย เท่าที่ได้เล่นกับน้องปุ้น น้องเขาไม่ใช่เด็กงี่เง่าที่ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ไอ้การจะร้องหาพี่ชายตัวเองในเย็นวันเสาร์แบบนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับได้
“ไม่ใช่ว่ากลับเพราะจะให้กูอยู่นรินทร์หรอกนะ”
มันชะงักมือที่กำลังผูกเชือกรองเท้าลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมก่อนจะไล่สายตาลงมามองที่ข้อมือของผมที่สวมใส่สร้อยข้อมือของนรินทร์อยู่ผมเอามืออีกข้างมาปิดไว้โดยอัตโนมัติ “อย่ามาทำตัวเป็นพระเอกเลยหน่า” รู้ตัวว่าผิดเวลาแต่ผมก็เลือกที่จะพูดประโยคชวนขันโง่ๆ ออกไปแม้ว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะมีเพียงความเงียบ แต่ผมก็ยังแสร้งหัวเราะฝืดๆ ออกไปอยู่ดี
“หึ ตลกเหรอ กูไม่ได้อยากทำแบบนี้สักหน่อย ไม่ได้อยากทำเลยสักนิด” มันว่าก่อนจะเดินผ่านผมออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงนาฬิกาที่เดินบอกเวลาไปเรื่อยๆ ผมยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ในเวลาแบบนี้ผมไม่ควรคิดอะไรมากไปกว่านี้ ไม่ควรคิดว่าการกระทำของมันจะสื่อถึงอะไร แต่แววตาของประมุขที่วูบไหวไปมา ดูไม่คงที่ ไม่เหมือนกับแววตาของคนคนเดิมที่ผมเคยรู้จักยิ่งทำให้ผมจมลึกเข้าไปในห้วงความคิดที่ไม่ควรคิดเข้าไปใหญ่
คงไม่ใช่ว่าประมุขชอบผมหรอกนะ.. ถ้าเป็นแบบนั้นละก็.. มันไม่ดีเลย.. ไม่ดีเลยจริงๆ
“ทำไมนานจัง”
“มัวแต่คุยเรื่องการแข่งนะ แล้วนี่คุยอะไรกัน”
เมื่อผมเข้ามาในครัวก็เห็นสองคนนี้กำลังนั่งทานข้าวกันอยู่แล้ว ผมเดินไปนั่งยังที่ประจำของผมปกติที่ข้างๆ จะว่างเปล่าแต่วันนี้กลับมีนรินทร์มานั่งอยู่ข้างๆ ด้วยมันเลยดูพิเศษขึ้นมา
“เรื่องทั่วๆ ไปมั้ง กูเกร็งๆ นิดหน่อย ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรดี”
“ขอโทษที” นรินทร์พูดกลั้วหัวเราะให้กับประโยคของไอ้บุ๊คผมเองยังแอบหัวเราะตามไปด้วย ไอ้นี่นิ พูดซะตรง ไม่ได้เกรงใจคนข้างๆ ผมเลย
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเรื่อยๆ ส่วนมากจะเป็นผมกับนรินทร์ที่คุยกันไอ้บุ๊คก็แทรกๆ ขึ้นมาบ้าง มันบอกเกร็งที่ต้องพยายามพูดสุภาพแม้นรินทร์จะบอกให้พูดตามปกติมันก็ยังตอบกลับว่าเกร็งอยู่ดี เออ เหมือนกันเลยวะเพื่อน แต่ดีหน่อยที่ผมเริ่มชินกับการพูดแบบแบบสุภาพกับนรินทร์ไปแล้ว
พอมื้ออาหารจบลงบุ๊คก็เดินถือถุงที่มิงค์ฝากมาเข้าห้องไปส่วนผมกับนรินทร์ก็แบ่งงานกันทำโดยที่ผมเก็บโต๊ะ ส่วนนรินทร์เป็นคนล้างจาน นานทีเดียวที่ผมเอาแต่มองด้านหลังของเขาหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ รูปร่างแข็งแกร่งสมชาย หน้าตาหล่อเหลา พื้นเพทั้งที่บ้านและนิสัยก็ถูกปรุงแต่งมาอย่างดี อย่างกับหลุดออกมาจากในเทพนิยาย
แล้วผู้ชายคนนี้ที่ผมชอบ ผู้ชายคนที่บอกว่ายังไม่แน่ใจและบอกให้ผมรอ เป็นคนนี้จริงๆ นะเหรอ
ปั๊ก
“มองนานเกินไปแล้วมั้ง” อือ.. เจ็บแฮะ นรินทร์ดีดเข้ามาที่หน้าผากผมเบาๆ แต่มันก็ดังและเจ็บเอาการเลยทีเดียว แม้ว่าผมจะทำหน้ามุ้ยใส่ แต่เขาก็เอาแต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ผมกลับก่อนนะ”
“เห จะกลับแล้วเหรอ น่าจะอยู่ด้วยกันก่อนนะ”
“มีธุระนิดหน่อย ที่แวะมาก็แค่อยากกินข้าวด้วยกัน” คำพูดนั่นทำเอาผมเขินจนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นรินทร์ที่เหมือนจะรู้ว่าคำพูดของตัวเองทำเอาผมไปไม่ถูกก็เดินออกไปที่ประตูพร้อมกับจูงมือผมไปด้วย
เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ใจผมเต้นแรงจนห้ามไม่อยู่ ริมฝีปากของเขาอยู่ห่างจากริมฝีปากของผมไปเพียงไม่กี่เซ็นแต่แล้วเขาก็เลื่อนมันไปประทับบนหน้าผากแทน
“แล้วเจอกันครับ”
นรินทร์กลับไปแล้ว ผมยืนอยู่ที่ระเบียงห้องเพียงคนเดียวในมือมีกระป๋องเบียร์ที่หายไปแล้วครึ่งกระป๋อง ลมเย็นๆ พัดผ่านผิวกาย ดวงตาเหม่อมองออกไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า แม้ว่าแสงของมันจะไม่อาจสว่างสู้แสงไฟจากในเมืองได้แต่มันก็ดูสวยสำหรับผมอยู่ดี
หลากหลายความคิดเริ่มเข้ามาตีรวนอยู่ในหัวของผม ทั้งการกระทำของประมุขก่อนที่จะกลับไป ทั้งคำพูดคำจาและสีหน้ามันดูเหมือนไม่ใช่เขาเลย แต่ถึงอย่างนั้นความสุขที่ผมได้รับจากนรินทร์เมื่อครูก็ทำให้ผมเลิกคิดถึงมัน ผมยกข้อมือขึ้นจนมันเกิดแสงวิบวับ แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม ถ้าผมชอบเขาต่อไป สักวันนรินทร์ก็จะตอบความรู้สึกนั้นกลับมา ผมก็แค่ต้องรอ
แต่ผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองเลือกมักจะไม่ได้ว่าจะเข้าไปหาใคก่อนรเวลาที่สองคนนั้นมาอยู่ในสายตาของผมพร้อมๆ กัน
บรรยากาศในอาทิตย์ต่อมาเริ่มเงียบลงเพราะกิจกรรมต่างๆ เริ่มหมดไปที่เหลือก็แค่การเข้ารับน้องจนกว่าครบกำหนด ผมอยู่เคลียร์งานกับเพื่อนในกลุ่มจนเสร็จ แล้วแวะเอาของเทคไปให้น้องในสาย ก่อนจะนึกได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเปิดสายเทคแล้วนี่นา ผมควรจะเตรียมของขวัญให้น้องได้แล้วสินะ
“มึงวันนี้ไปห้างหน้ามหาลัยกัน”
“ก็ดีกูก็ว่าจะไปซื้อของให้น้องสักหน่อย”
“เหมือนกัน เดี๋ยวเงินจะหมดซะก่อน” ผมหัวเราะลั่น พอตกลงกันได้ก็พากันไปที่ห้างหน้ามอที่นี่เป็นห้างเล็กๆ แต่ก็ยังมีของให้เลือกซื้อเลือกดูมากมาย แถมยังมีโรงหนังที่ชั้นบนสุดอีกต่างหาก เพราะอย่างนั้นเวลาอยากดูหนังก็เลยค่อนข้างสะดวกสบายไม่ต้องเดินทางไกล นั่งพี่วินมาแปปเดียวก็ถึง
ตอนแรกตั้งใจว่าจะแยกกันเดินแต่คิดอีกทีไปด้วยกันน่าจะเร็วกว่า พวกผมเลยพากันไปเดินไปที่โซนขายของกิ๊ฟช็อป ซึ่งมันมีแต่ของมุ้งมิ้งจุกจิกแบบที่ผู้หยิงใช้ แล้วน้องผมกับไอ้บุ๊คดันเป็นผู้ชายสมแมนเหมือนกันซะด้วย เหอะ เปลี่ยนที่ดีกว่านะแบบนี้
“เอาไงดีมึง กูนึกไม่ออกเลยว่าจะซื้ออะไรให้น้องดี”
“กูก็เหมือนกันแหละ ตอนปีหนึ่งพี่บอยให้อะไรกูวะ จำไม่ได้” ผมเริ่มย้อนอดีตเพียงลำพังขณะที่กำลังเดินไปโซนอื่นๆ จะว่าไปตอนเปิดเทคผมได้.. อ๋า! หนังสือ เป็นหนังสือที่ต้องใช้ตอนปีสองแล้วพี่แกซื้อมาแบบยกชุดให้ผมล่วงหน้า แกบอกว่ามีตั้งแต่เทอมหนึ่งจนจบเทอมสอง ซื้อไว้เพื่อผมโดยเฉพาะแถมโน้ตติดมาด้วย หรือจะเอาแบบพี่บอยดี
“มึงนึกออกยัง”
“ลังหนังสือของปีสอง โคตรฮือฮา”
“เออ ใช่ พี่บอยโคตรล้ำ คิดได้ไงให้หนังสือเรียน”
“เออดิ กูนึกออกล่ะ ในเมื่อพี่เทคกูให้หนังสือเรียนงั้นกูจะให้กระดาษเอสี่ยกลังเลย”
“เอาจริงดิ” ผมยักคิ้วยืนยันความคิดของตัวเอง ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่โซนเครื่องเขียน ไอ้บุ๊คขอแยกไปดูของที่ร้านการ์ตูนเพราะน้องมันออกแนวโอตาคุหน่อยๆ เป็นไปได้ว่ามันอาจจะซื้อฟิกเกอร์ราคาแพงให้น้องมันสักตัว พอมาเทียบกันแล้วของผมนี่กลายเป็นของขวัญป่วงๆ ไปเลย แต่ก็นั่นแหละ ยังไงมันก็มีประโยชน์ให้ใช้ละนะ
ผมชะงักตัวเองไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคนคุ้นเคยเดินมากับสาวสวยที่ผมเคยเห็นครั้งสองครั้ง ประมุขกับแฟนของมัน. สองคนนั้นเดินควงกันอยู่ด้านหน้าของผมห่างกันออกไปไม่ถึงห้าเมตร ผมลดความเร็วของตัวเองลงแล้วเดินไปช้าๆ ตอนที่สวนกันสายตาของเราสองคนสบกันเต็มตา ผมยกยิ้มให้มันเล็กน้อยแต่ไม่มีรอยยิ้มตอบกลับมาเมื่อเราสองคนต่างหายลับไปจากสายตาของกันและกัน ความรู้สึกหนักอึ้งที่ปลายเท้าทำให้ผมหยุดนิ่งไป
ก็ว่าแล้วว่าสิ่งที่ผมคิดนั้น มันไม่ใช่ ผมก็แค่คิดผิดไปเอง ประมุขมีแฟนอยู่แล้วมันจะมาชอบผมได้ยังไงกัน แล้วทำไมความรู้สึกวูบโหวงเหมือนอะไรลอยหายในอากาศแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นกับผมด้วยละ
เรากลับมาที่คอนโดกันตอนเกือบๆ สามทุ่ม ไอ้บุ๊คได้ฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนมาจริงๆ อย่างที่ผมคิด แถมมันยังโทรไปถามน้องมันแบบไม่กลัวสายแตกเลยว่าตัวไหนที่น้องมันยังไม่มี ส่วนผมก็ได้กระดาษเอสี่มาหนึ่งลัง หนักมาก ดีที่นั่งวินกลับไม่อย่างนั้นแขนผมระบบแน่ๆ
ตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์ก็เจอกับคนที่เพิ่งจะเจอไปเมื่อตอนเย็นอีกครั้ง มันชะงักผมก็ชะงัก ไอ้บุ๊คยืนกดลิฟต์ค้างไว้และมองที่ผมกับประมุขสลับกันไปมาเพราะคนตรงหน้ายังยืนขวางทางผมอยู่
“หลบหน่อยจะขึ้นห้อง”
“มีเรื่องจะคุยด้วย”
“ไว้วันอื่นเถอะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมทำเสียงที่แสนจะเย็นชาออกไปแบบนั้น
“ไม่ได้ต้องวันนี้ ยืมตัวเพื่อนมึงแปป” ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมันดึงเอากล่องเอสี่ที่ผมถืออยู่ไปวางที่ไว้ลิฟต์ไอ้บุ๊คพยักหน้างงๆ แล้วมันก็กดปิดลิฟต์ไปพร้อมกัน ส่วนตัวผมก็ถูกไอ้คนเจ้ากี้เจ้าการนั่นลากมาที่ม้านั่งหน้าคอนโด ผมสะบัดมือมันออก ติดจะโมโหนิดหน่อยที่มันเอาแต่ใจแบบนี้
“เมื่อไรจะเลิกนิสัยเอาแต่ใจสักที! มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเลย!”
“กูกับฝ้ายเลิกกันแล้วนะ ที่เห็นวันนี้ก็แค่ไปกันแบบเพื่อน”
“เหอะ แบบเพื่อนแต่ควงแขนกันจ๋าแบบนั้นเชื่อก็โง่แล้ว”
“มันก็แค่พฤติกรรมเคยชิน”
“เคยชินจนต้องส่งถึงห้องว่างั้น”
“ก็แค่มาส่งเท่านั้นเอง”
ไม่ว่ามันพูดอะไรก็น้ำหนักก็ดูเบาแสนเบาจนไม่มีอะไรน่าเชื่อถือสักอย่าง ผมส่ายหัวไปมาอย่างไม่ยอมรับฟัง ก่อนจะฉุดคิดได้ว่าทำไมผมต้องเกิดอาการโมโห แล้วทำไมมันจะต้องมาอธิบายให้ผมฟังด้วย
“เดี๋ยวนะ อะ.. เฮ้ยๆ มึงเป็นอะไรเนี่ย แล้วกูเป็นอะไรจะมาอธิบายให้กันฟังทำไม” มันเงียบ จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม แววตาที่จริงจังจนผมต้องผละตัวให้ออกห่างแต่แขนแกร่งของมันก็ตรงเข้ามารั้งตัวของผมไว้ “เพราะกูชอบมึงไง”
“หะ.. อย่ามาตลกนะ วันนี้ไม่ใช่วันที่ 1 เมษานะเว้ย”
“เหอะ” มันกระชากผมเข้าไปใกล้ “มึงเนี่ย อะไรๆ ก็น่าตลกไปหมดเลยสินะ ความรู้สึกของกูมันน่าตลกจนมึงไม่เชื่อเลยเหรอ บอกไว้เลยว่าความรู้สึกของกูเป็นของจริง กูชอบมึง! กูรักมึง!”
“ได้ยังไง.. มันจะเป็นไปได้ยังไง เลิกล้อเล่นสักที!ตอนนี้กูไม่ตลกด้วยแล้วนะ!”
“กูไม่ได้ตลกมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ มันคือเรื่องจริง มึงลองฟังดูสิ ตรงนี้มันเต้นแรงจนจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว” มันว่าพร้อมกับกระชากผมเข้าไปในอ้อมกอด แขนแกร่งของมันกอดรั้งผมไว้เสียงหัวใจที่เต้นรัวของมันดังสะท้อนอยู่ในหู ผมเบิกตากว้างผลักมันออกไปอย่างแรงต่างคนต่างเซพอมันจะเข้ามาหาผมอีก ผมก็รีบยกมือห้ามไว้พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ผมกำลังปฏิเสธ ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นมัน
“เลิกล้อเล่นเถอะ กูชอบนรินทร์มึงก็รู้”
“จะบอกว่ากูไม่มีโอกาสเลยอย่างนั้นสินะ”
“ตอนนี้กูชอบนรินทร์”
“กูถามหาโอกาสไม่ได้อยากฟังว่ามึงชอบใคร” ผมเบือนหน้าหนี คนเอาแต่ใจ ชอบขู่ชาวบ้านอย่างมันมีเสียงเจ็บปวดแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
“กูชอบนรินทร์..” ผมย้ำอีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินออกมา แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนไกลข้อมือก็ถูกรั้งไว้อีกครั้ง ผมหันหน้าไปมองมัน ไม่ได้มีน้ำตาที่แสดงออกถึงความเสียสิ่งที่เห็นมีเพียงสีหน้าที่เศร้าสร้อยของมัน และดวงตาที่วูบไหวไปมาของผมเอง
“มึงอาจจะยังไม่รู้ แต่กูพูดคำไหนคำนั้น..... กูจะรอ”
ผมนอนแผ่ฟังเสียงแอร์ดังหึ่งๆ อยู่ในห้องนอนเพียงลำพังหลังจากแยก.. ไม่สิ ทิ้งประมุขไว้เบื้องหลังแล้วผมก็ขึ้นมาบนห้องแล้วขังตัวเองไว้ในห้องส่วนตัวทันที แม้บุ๊คจะถามว่าเป็นอะไรผมก็ได้แต่ตอบกลับไปว่ายังไม่พร้อมคุย บางทีมันอาจจะรู้เลยยอมลามือไปง่ายๆ ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ
ผมอาบน้ำจัดการตัวเองอย่างเลื่อนลอย ในหัวมีแต่คำพูดของประมุขวนเวียนไปมา ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไร เพราะอะไร แม้ว่าจะคิดแล้วคิดอีกผมก็ไม่ถึงเหตุผลหรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้คนอย่างประมุขมาชอบคนอย่างผมได้เลย แต่บางทีผมอาจจะลืมไปว่า รักหรือชอบมันไม่ใช่ว่าจะต้องอ้างอิงด้วยเหตุผลเสมอไป นั่นสินะ ก็เหมือนกับที่ผมชอบนรินทร์.... แย่ละสิ! ผมยกข้อมือตัวเองขึ้นมาดูเพราะรู้สึกว่ามันว่างๆ แล้วก็จริงอย่างที่คิดสร้อยข้อมือหายไปจริงๆ ด้วย
ผมผุดลุกขึ้นจากเตียงเข้าไปรื้อลิ้นชักทั้งบนโต๊ะและข้างเตียงดูว่าตัวเองลืมทิ้งไว้หรือเปล่า ทั้งๆ ที่ค่อยข้างมั่นใจว่าวันนี้ผมใส่ออกไปด้วย แต่ก็ยังไม่อยากจะยอมรับเท่าไรว่าตัวเองจะทำหาย หาอยู่นานสุดท้ายแล้วก็ไม่มี ผมทำมันหายไปจริงๆ ผมพรูลมหายใจออกมาแล้วเลื่อนปิดลิ้นชักแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเข้าเสียก่อน ผมหยิบมันขึ้นมาดู เป็นกล่องเล็กๆ ที่รู้สึกคุ้นตายิ่งพอเปิดดูใจยิ่งกระตุก มันคือพวงกุญแจที่ประมุขให้ผมมาเมื่อตอนที่เราไปเดินงานขนมหวานด้วยกัน ผมลืมไปเลยว่าเคยได้รับสิ่งนี้มา
ผมมองกุญแจรูปดาวหลากหลายดวงที่ห้อยอยู่รวมกันในมือ เก็บมันเข้าที่แล้วก็เอาออกมาอีกครั้ง เก็บมันลงไปอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาและสุดท้ายผมก็ทำเพียงแค่วางมันไว้บนโต๊ะแล้วทอดสายตามองมันจากบนเตียง ผุดรอยยิ้มออกมาเล็กๆ เมื่อความทรงจำในวันนั้นย้อนกลับมา
“สวยมาก”
“ลิมิเต็ดเลยนะ ให้มึงแล้วกัน”
“จะดีเหรอ”
“ตั้งใจซื้อมาให้อยู่แล้ว อุตสาห์มาเป็นเพื่อน ขอบคุณ”
.
.
“กูชอบมึง ชอบ... ชอบ..”
ผมบี้หน้าลงกับหมอนเมื่อเสียงและสีหน้าของวันในวันนี้ตีตื้นขึ้นมาแทนที่ความทรงจำในวันก่อน ควรจะทำอย่างไรดี สันสนไปหมดแล้ว ผมชอบนรินทร์และไม่ควรคิดคิดใครอื่นอีก ใช่ มันต้องแบบนั้นสิถึงจะถูก
ประมุข.. ขอโทษ
เสียงล้งเล้งดังมาจากในโรงยิม วันนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันที่ประมุขและนรินทร์จะแข่งกันเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าใครชนะในรอบนี้ได้ก็จะได้เป็นตัวแทนไปแข่งในระดับมหาวิทยาลัยที่กำลังจะเกิดขึ้นเดือนหน้า ทั้งสองคนกำลังเตรียมตัวอยู่ในสนาม ผมเดินไปนั่งข้างไอ้นายเหมือนเดิม ใจจริงก็อยากจะเดินเข้าไปหา.. นรินทร์อยู่หรอก แต่ผมก็กลัวว่าการกระทำของผมมันอาจจะทำให้ประมุขรู้สึกไม่ดีเอาได้
“ไม่เจอนานนะพี่ เชียร์ใครเป็นพิเศษเปล่า”
ผมส่ายหัวแล้วฝืนยิ้มออกไป ด้วยความสัตย์จริงผมไม่ได้เชียร์มใครเป็นพิเศษ ต่างคนต่างก็มีความสามารถต่างกัน จุดมุ่งหมายในการเล่นก็ต่างกัน ของนรินทร์เล่นเพราะสนุกไปกับมัน แต่กับประมุข..
“กูจะยอมคัดเลือกก็ได้นะแต่... ระหว่างเราต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกัน”
ข้อแลกเปลี่ยนที่มันต้องการจากผมเมื่อมันชนะ เฮ้อ นึกถึงอีกแล้ว ช่วงหลายวันมานี่ไม่ว่าผมจะหยิบจับอะไรก็มักจะมีเรื่องของประมุขลอยขึ้นมาทับทุกที บางครั้งที่อยู่กับนรินทร์ผมก็ยังเป็น ผิดกับไอ้เจ้าที่ผมไม่ได้เห็นมันอีกเลยจนวันนี้ แย่ นี่มันแย่ที่สุด
สัญญาณการแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ลานประลอง ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน เริ่มกวัดแกว่งดาบใส่กัน ผลคะแนนผลัดกันขึ้นอยู่ตลอดไม่สามารเดาได้ว่าใครจะชนะไป กว่า 9นาที มันยาวเกินเหลือเกิน และแล้วเสียงสัญญาณสิ้นสุดการแข่งขันก็ดังขึ้นพร้อมกับคำประกาศชื่อผู้ชนะ
นรินทร์..
ทั้งสองคนถอดหน้ากากออกก่อนจะเดินไปจับมือกัน ถึงจะอยู่ในสถานนะคู่แข่งกันมาตลอดแต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยหลงลืมน้ำใจนักกีฬา
ผมยิ้มกว้างเริ่มลุกออกจากที่นั่งก่อนจะชะงักเมื่อตัวเองไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปหาใครดี ทางซ้ายเป็นนรินทร์ที่กำลังยกน้ำขึ้นด้านขวาเป็นประมุขที่กำลังเช็ดเหงื่ออยู่ เสียงคุยของคนทางด้านขวาดังแทรกเข้ามาในความคิด พวกไอ้นายคงลงไปหาประมุขแล้วถ้าอย่างนั้น.. เมื่อได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ พร้อมกับมือหนาที่กวักเรียกผมจากทางด้านซ้ายก็ทำให้ผมเลือกที่จะเดินไปหานรินทร์
โดยที่ไม่รู้เลยว่าสายตาที่มองมาจากทางด้านหลังมันเจ็บปวดแค่ไหน
TBC
คราม- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 41
Join date : 01/04/2014
Re: Who’s the KING? } 15
นั่น ซื้อหวยไม่ถูกงี้มั่งล่ะ!! มีซัมติงกันจริงๆ ใช่ไหมสองคนนั้น มิงค์กับบุ๊ค
ได้แต่แอบหวังว่าสุดท้ายแลนด์จะเลือกนรินทร์
ป.ล. เลื่อมเคยซื้อกางเกงในให้น้องตอนเปิดเทคด้วยละคะ ฮ่าๆๆ
ได้แต่แอบหวังว่าสุดท้ายแลนด์จะเลือกนรินทร์
ป.ล. เลื่อมเคยซื้อกางเกงในให้น้องตอนเปิดเทคด้วยละคะ ฮ่าๆๆ
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Similar topics
» Who’s the KING? } 10
» Who’s the KING? } 11
» Who’s the KING? } 12
» Who’s the KING? } 14
» Who’s the KING? } 1
» Who’s the KING? } 11
» Who’s the KING? } 12
» Who’s the KING? } 14
» Who’s the KING? } 1
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|