ค้นหา
Latest topics
» Who’s the KING? } 16 [END]by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:30 pm
» Who’s The KING? } 15 - Special part form Pramuk.
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:25 pm
» Who’s the KING? } 15
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:23 pm
» Who’s the KING? } 14
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:09 pm
» Who’s the KING? } 13
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:01 pm
» Who’s the KING? } 12
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:50 pm
» Who’s the KING? } 11
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:40 pm
» Who’s the KING? } 10
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 5:59 pm
» Who’s the KING? } 9
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:39 pm
» Who’s the KING? } 8
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:31 pm
» Who’s the KING? } 7
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:19 pm
» Who’s the KING? } 6
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 1:49 pm
» Who’s the KING? } 5
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:57 am
» Who’s the KING? } 4
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #2 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:26 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #1
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:13 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /14 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:03 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /13
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:54 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /12
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /11
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:33 am
Fairy Tell - บทที่ 11
4 posters
หน้า 1 จาก 1
Fairy Tell - บทที่ 11
บทที่ 11
ภูตเฒ่ากลับมายังที่พักของตนใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่าโปร่งหลังจากเข้าไปดูอาการขององค์ชายตามปกติ บริเวณโดยรอบเรียกได้ว่าเงียบสงบเสียจนเกือบสงัด เพราะภูตส่วนใหญ่มักจะตั้งที่พักอาศัยอยู่บริเวณใจกลางของแดนภูตเสียมากกว่า นานๆ ทีจึงจะมีพวกสัตว์ป่าผ่านมาแถวนี้บ้างสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกสัตว์ก็ไม่ได้ทำอันตรายหรือกัดกินบ้านของเหล่าภูตแม้แต่น้อย เพราะภูตที่จะตั้งที่พักอาศัยจำเป็นจะต้องบอกกล่าวแก่ธรรมชาติเสียก่อน ภูตเฒ่ายังไม่ทันได้ออกแรงเปิดประตูเสียงกร๊อบแกร๊บของเศษใบไม้ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ออกมาเถอะวัลยาณี” ภูตสาวขยับปีกเล็กๆ เข้ามาหาอย่างอ่อนแรง เสื้อผ้าขาดวิ่นอยู่หลายแห่ง ผู้เป็นอาจารย์ผลักบานประตูแล้วหยิบฉวยผ้าผืนโตออกมาให้ศิษย์ใช้คลุมร่างกาย หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยขณะที่เขาประคองให้นางนอนลง
“พักผ่อนสักพักเถิดศิษย์ข้า เมื่อเจ้าอยากเล่า ข้ายินดีที่จะรับฟังเจ้าเสมอ” นางพยักหน้ารับแล้วปิดเปลือกตาลง
ธีรธรากางตำราเล่มโตที่หยิบลงมาจากชั้น ทรุดตัวลงนั่งอ่านเงียบๆ บนเก้าอี้ไม้ขัดมัน ดวงตาคู่นั้นเหลือบมองศิษย์สาวเป็นระยะ ก่อนจะจมจ่อมอยู่กับข้อมูลในตำรา คิ้วสีดอกเสลาขมวดเข้าหากันแน่น แล้วก็คลายออกสลับกันอยู่อย่างนั้น จวบจนพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อย แสงสีส้มอาบไล้ไปทั่วทั้งผืนป่า เสียงแหบแห้งก็ดังขึ้น
“ท่านรู้ใช่ไหมว่าข้าเกลียดวายุภัค” ธีรธราไม่ได้ตอบรับ แต่เงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่บัดนี้นั่งกอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ดวงตาสีเพลิงเหม่อมองออกไปนอกบานหน้าต่าง ราวกับพูดคุยกับสายลมและท้องนภา
ธีรธราส่งน้ำให้ แล้วทรุดตัวลงบนเตียงข้างๆ ศิษย์ เขาฟังเพียงแค่ฟัง ฟังโดยไม่นำใจของตนเข้าไปตัดสินกับสิ่งที่วัลยาณีได้บอกเล่า และไม่เอ่ยขัดใดๆ เรื่องราวต่างๆ ที่เจ้าตัวตั้งใจจะเก็บเป็นความลับจวบจนดับสิ้นจึงพรั่งพรูออกมาราวกับธารน้ำไหลเชี่ยว
หลังจากที่ได้พบเจ้างูเห่าในครั้งนั้นแล้ว วัลยาณีก็มักจะแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนมันอยู่เสมอ ในช่วงแรกๆ ก็เดือนละครั้ง ต่อมาก็กลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง จนแทบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอไปเสียแล้ว วัลยาณีมักจะไปไม่นานเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตมากนัก เธอคิดว่ามาตุเรศคงไม่ชอบใจนักกับสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ เพราะมาตุเรศของเธอกลัวสัตว์จำพวกงูยิ่งกว่าสิ่งใด
พยับหมอกมักจะมีเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้เธอฟังอยู่เสมอ เจ้างูเห่าสีนิลตัวนี้เป็นผู้ฟังที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เวลาเธอเล่าเรื่องต่างๆ มันมักจะเอาหางยาวๆ ของมันมาพันรอบตัวของเธอเอาไว้ เวลาที่เธอเสียใจจนร่ำไห้มันก็จะคอยปลอบใจอยู่เสมอ หางเล็กๆ นั้นจะคอยเช็ดทุกหยดน้ำตาของเธอ แต่ถึงกระนั้นเจ้างูเห่าตัวนี้ก็เป็นงูที่มองโลกในแง่ร้ายจอมฉกาจตัวหนึ่ง คำแนะนำหรือข้อคิดที่มันให้กลับมาจึงมักเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดของภูตอย่างวัลยาณีเสมอ และบางทีเธอก็เผลอเอาสิ่งเหล่านี้ติดตัวมาเธอมาด้วยโดยไม่รู้ตัว บางครั้งเธอถึงกับเห็นภาพเหล่านั้นมาปรากฎในความฝันของเธอ
ภูตสาววัย 239 ปีภูตกำลังนั่งแอบอิงเจ้างูเห่าที่ขยายร่างให้ใหญ่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่เธอ ริมฝีปากอวบอิ่มกำลังเอื้อนเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนให้เจ้างูฟัง
จำนวนภูตในชั้นเรียนแต่ละชั้นมักจะมีจำนวนไม่มากมายนัก และภูตในชั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีการคละอายุ แต่ไม่เกิน 10 ปีภูต เพราะอัตราการก่อกำเนิดของภูตอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก และโดยปกติภูตมักจะมีบุตรหรือบุตรีเพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น มีแค่ไม่กี่ตนที่ก่อกำเนิดภูตจำนวนมากกว่านั้น จึงไม่แปลกที่ชั้นเรียนของวัลยาณีเองจึงมีภูตอยู่เพียงแค่ 10 ตนเท่านั้น
วันนี้เธอร่ำเรียนวิชาโบยบินและการใช้เวทย์ ภูตสาวที่ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งชั้นเรียนมาตลอด 100 ปีภูตที่ผ่านมายกมือขึ้นแล้วเอ่ยอัญเชิญพระอัคคี แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น เจ้างูเห่าส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา โบกหางกลางอากาศ เปลวไฟสีฟ้าลูกใหญ่ก็ปรากฎขึ้น
“เจ้าลืมไปแล้วรึวัลยาณี ว่าในเขตแดนของข้าเวทย์ของเจ้าหาได้เกิดผลใดไม่” มันโบกหางอีกครั้ง เปลวไฟก็ดับมอดไป วัลยาณียู่หน้าพลางจับหางขึ้นมาลูบเล่น เจ้างูเห่าส่งเสียงครางในลำคออย่างพอใจ
“ก็ท่านไม่ยอมสอนข้าเสียทีนี่หน่า สอนข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ภูตสาวเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน
“ยังไม่ถึงเวลาของเจ้าหรอก จงรอไปอีกสักพักเถิด” งูเห่าว่าแล้วขดลำตัวให้แน่นขึ้น เรียกเสียงบ่นกระปอดกระแปดให้ดังเล็ดลอดออกมา
“จริงสิ วันนี้ข้าบินตีลังกาได้ตั้ง 13 ตลบแหนะ แต่วายุภัคบินได้เยี่ยมยอดกว่าข้าเสียอีก เสียดายท่านไม่มีโอกาสได้เห็น” วัลยาณีส่งเสียงชื่นชมออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าอย่าเอ่ยชื่อนี้ให้ข้าได้ยิน มันเป็นคนทำให้เจ้าเจ็บปวดใจไม่ใช่หรือไร หรือเจ้าลืมเสียแล้วว่าใครคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดมา!” เจ้าหูเง่าแผ่พังพานกว้าง จ้องมองคนที่ถูกหางของตนรัดรึงด้วยความโกรธ
“มันทำให้เจ้าโดนลงโทษตอนเป็นเด็กกี่ครั้งกี่คราว เจ้าโดนด่าว่าเพียงเพราะมันหนีออกไปเที่ยวเล่นซุกซน มันใส่ร้ายและกล่าวโทษเจ้า มันเคยแย่งอันดับหนึ่งแห่งชั้นเรียนไปจากเจ้ามิใช่หรือ เจ้าเด็กนั้นมันแย่งความรักความสนใจไปจนหมด แม้กระทั่งจากมาตุเรศของเจ้ามิใช่หรือ เจ้าจะต้องให้ข้าทวนความจำให้เจ้าอีกสักกี่รอบกัน!!!” ดวงตาสีมรกตวาวโรจน์ ลิ้นสองแฉกตวัดไปมา พลางส่งเสียงขู่ฟ่อ
“วัลยาณี มองตาข้า!!” มันใช้หางเรียวบังคับให้ภูตสาวหันมาสบตา
“หากเจ้าเอ่ยเรื่องของมันอีกครา ข้ารับรองว่าเจ้าจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสมที่สุด!” เจ้างูเห่าส่งเสียงลอดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ
มือเรียวผลักบานประตูเข้าไปหลังจากได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยเล็ดลอดออกมาจากด้านใน บนโต๊ะมีตะกร้าใบโต ชมพู่ลูกสีชมพูอวบอิ่มนอนเรียงกายอยู่ในภายใน ปักษธรกำลังลูบหัวทุยๆ นั้นอย่างเอ็นดู ริมฝีปากแย้มยิ้มสดใส ดวงตาสีเพลิงจองมองภาพนั้นเป็นประกาย
“วัลยาณีมานี่สิ ข้าเก็บชมพู่มาฝากเจ้าเยอะแยะเลยนะ เจ้าชอบไหม” วายุภัคหยิบชมพู่ในตะกร้าแล้วส่งให้ ภูตสาวปัดมือสหายรักออกอย่างไม่ไยดี ชมพู่ลูกน้อยกลิ้งลงไปบนพื้นไม้ เธอใช้ฝ่าเท้าเหยียบย่ำเสียไม่เหลือสภาพเดิม มันกลายเป็นเพียงเศษซากแบนๆ ติดอยู่กับพื้นไม้
“วัลยาณี!” ปักษธรเอ่ยเรียกนามบุตรีด้วยความโมโห
“ท่านปักษธรข้าว่าวัลยาณีคงจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ เอ่อ...ข้าขอโทษนะที่เซ้าซี้เจ้าแบบนี้ ท่านอย่าว่ากล่าวนางเลยนะ” วายุภัคเอ่ยก่อนจะขอตัวกลับ ขณะที่คนก่อเรื่องเดินหนีเข้าห้องของตัวเองไปโดยไม่กล่าวแม้แต่คำร่ำลา
ภาพที่ได้เห็นราวกับจะช่วยตอกย้ำความจริงที่เพิ่งได้ฟังจากสหายในยามราตรี ไฟแห่งความเกลียดชังที่ถูกจุดขึ้นตั้งแต่ยังเด็กเริ่มแผ่ขยายและเพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ
ค่ำคืนนั้นวัลยาณีหลับฝันเห็นภาพความทรงจำต่างๆ ที่มีร่วมกับวายุภัคตั้งแต่วัยเด็ก แต่คราวนี้เธอไม่ได้เป็นวัลยาณีที่ตัวเล็กเฉกเช่นที่ผ่านมา วัลยาณีในวัย 239 ปีภูติ เดินเข้าไปกระซิบที่หูเล็กๆ ของวัลยาณีในวัยเยาว์ ครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องแล้วเรื่องเล่า เสียงเจ้างูเห่าดังขึ้นในห้วงหนึ่ง “มันเป็นคนทำให้เจ้าเจ็บปวดใจไม่ใช่หรือไร”
วัลยาณีสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงฝัน มือเรียวดึงรั้งผ้าห่มผืนงามเอาไว้แน่น หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาจากก้นบึ้งแห่งความเกลียดชัง
รุ่งขึ้นวัลยาณีก็ยังคงปฏิบัติตัวต่อวายุภัคอย่างปกติ แต่เธอรู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกครั้งที่วายุภัคออกไปเที่ยวเล่นกับวัลยาณีมักจะได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ กลับมาเสมอ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะวายุภัคมักจะซุกซนจนได้บาดแผลอยู่เป็นประจำ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินในลักษณะเช่นนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งวายุภัคบ่นกับภูตสาวว่าอยากลงไปยังโลกมนุษย์อีกครา เพียงแต่ติดอยู่ที่ผู้เป็นอาจารย์ไม่ยอมให้เจ้าตัวได้สมความปรารถนาเสียที วัลยาณีจึงหาทางช่วยสหายรักอย่างเต็มใจ เธอวางแผนให้วายุภัคออกเดินทางในช่วงที่ไม่มีการร่ำเรียนเนื่องจากผู้เป็นอาจารย์จะเข้าป่าไปทำการตรวจตราความเป็นอยู่ของพวกสัตว์ในป่าทั้งสี่ทิศ ทำให้ไม่มีใครสงสัยว่าวายุภัคหายตัวไปไหนได้เป็นเวลานาน และค่อนข้างแน่นอนว่าวายุภัคจะได้รับอนุญาตให้ติดตามอาจารย์ไป
เมื่อถึงวันเดินทางทั้งคู่นัดพบกันที่หน้าประตูไม้บานโตที่เริ่มมีร่องรอยแห่งกาลเวลาปรากฎให้เห็นมากขึ้น แต่ก็ยังคงไว้ด้วยความงดงามในตัวของมันเอง ภูตสาวยื่นกุญแจสีเงิน แล้วเอ่ยคำอวยพรขอให้สหายรักโชคดี แต่หลังจากวายุภัคผ่านพ้นประตูแห่งกาลเวลาได้ไม่นาน วัลยาณีก็ก้าวเท้าตามเข้าไปบ้าง
วัลยาณียกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นวายุภัคได้แต่แอบอยู่หลังพุ่มไม้ไม่กล้าแม้แต่จะออกไป เธอร่ายมนต์กำบังใส่วายุภัคอีกครั้งแล้วกลับไปยังแดนภูต เธออยากให้เขารับรู้และดื่มด่ำกับรสชาติของการไม่มีตัวตนในสายตาคนที่เขารักอย่างเต็มที่
หลายวันผ่านไป แต่วายุภัคยังคงไม่กลับคืนมาจากโลกมนุษย์อย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ วัลยาณีเริ่มร้อนใจและนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเจ้างูเห่า มันยื่นขวดสีขาวขุ่นขนาดเล็กให้แก่เธอ บอกถึงวิธีใช้ และผลที่จะเกิดขึ้นว่าผงที่อยู่ในนี้จะทำให้ภูตนั้นป่วย โดยอาการจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดภูตตนนั้นก็จะกลับมายังโลกภูตเอง เธอกำขวดนั้นเอาไว้แน่นแล้วเอ่ยลาเจ้างูเห่า
ภาพที่ปรากฎตรงหน้าไม่ใช่ภาพวายุภัคที่กำลังเศร้าสร้อยอย่างที่เธออยากให้เป็น ตรงกันข้ามวายุภัคกำลังมีความสุขอยู่กับคนที่เจ้าตัวยึดมั่นมาตลอด 240 ปีภูต และเป็นคนเดียวกับคนที่แย่งชิงความสนใจของวายุภัคในวัยเด็กไปจากเธอจนหมด
วัลยาณีฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่นำผงในขวดใส่ลงไปในเครื่องปรุงรสขวดแล้วขวดเล่า แล้วแอบดูสถานการณ์อยู่อย่างเงียบๆ ผ่านไปไม่นานนักวายุภัคก็เริ่มแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่เจ้าตัวก็พยายามกลบเกลื่อนอาการเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มร่างสูง เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ แต่คนหัวดื้อก็ยังไม่ยอมกลับโลกภูตเสียที วัลยาณีออกอาการหงุดหงิดจนเห็นได้ชัดทุกครั้งเมื่อต้องกลับไปโลกภูตตามลำพัง
เธอไปๆ มาๆ ระหว่างสองโลกนับครั้งไม่ถ้วน และทำแม้กระทั่งตามออกไปเมื่อพวกเขาไปเที่ยวกัน แน่นอนว่าเชือกที่ขาดนั้นไม่ใช่ฝีมือใครอื่น เธอแค่อยากจะขู่ให้วายุภัคกลัวและรีบกลับเสียที แต่ใครจะไปรู้ว่าวายุภัคช่างดื้อดึงยิ่งนัก ทั้งๆ ที่สภาพร่างกายของตนย่ำแย่ เธอเคยคิดที่จะเปลี่ยนแผนอยู่หลายครั้ง แต่อะไรๆ กลับไม่เป็นใจให้เธอทำเช่นนั้นได้
วินาทีที่เห็นวายุภัคแน่นิ่งไปจากสิ่งที่เธอกระทำ หัวใจและร่างกายของวัลยาณีเย็นเยียบราวกับถูกนำไปแช่ในบ่อน้ำในเหมันต์ฤดู เธอได้แต่ยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างแบบนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ทำมันลงไปแล้วด้วยมือทั้งสองข้างของเธอเอง แต่แล้วเธอกล่าวปฏิเสธออกมาโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้กลายเป็นนิสัยของเธอไปเสียแล้ว เธอโยนความผิดทั้งหมดให้แก่ชายหนุ่มที่กำลังกอดร่างของวายุภัคเอาไว้ แล้วรีบกลับไปยังโลกภูต
วัลยาณีตรงดิ่งไปหาเจ้างูเห่าทันทีที่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
“พยับหมอกท่านอยู่หรือไม่ เปิดประตูให้ข้าหน่อย!!” วัลยาณีทุบบานประตูเสียงดังโดยไม่สนใจว่ามือของตนจะเจ็บหรือไม่
“เจ้าตามหาข้าอย่างนั้นรึ?” เจ้างูเห่าโผล่มาด้านหลังของเธอ
“ยาขวดนั้นที่ท่านให้ข้าไป ข้าอยากได้สิ่งที่ช่วยชะล้างฤทธิ์ของมันได้ ยาแก้พิษ วิธีแก้ไขหรืออะไรก็ได้ ท่านช่วยเอามาให้ข้าที ข้าต้องการใช้เดี๋ยวนี้ เอามาให้ข้าเร็วเข้าสิ!” เจ้างูเห่าจับจ้องภูตตรงหน้านิ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้าเพียงเพราะไอ้เด็กงี่เง่านั่นวัลยาณี” มันเลื้อยหนีเข้าไปในที่พักอย่างรวดเร็ว วัลยาณีตามเข้ามาด้วยความโมโหไม่แพ้กัน
“ท่านรู้ว่าคนที่ข้าจะเอายานั่นไปใช้คือวายุภัค ท่านเลยเอายานั้นมาให้ข้าอย่างนั้นรึ”
“ฉลาดนี่วัลยาณี และข้าเตือนเจ้าแล้วว่าถ้าเจ้าเอ่ยถึงมัน เจ้าจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสมที่สุด” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นอีกครั้งราวกับต้องการจะเยาะเย้ย
วัลยาณีรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งโดนตบหน้าฉาดใหญ่ วินาทีนั้นภาพในวัยเด็กก็หวนกลับมาอีกครั้ง เธอเห็นภาพของตัวเองและพยับหมอกทับซ้อนกัน ตอนที่เธอเรียกร้องความสนใจต่างๆ นาๆ หรือแม้กระทั่งตอนยื้อแย่งไข่ใบโตจากวายุภัคจนมันหลุดมือไป ก็ไม่ต่างจากสิ่งพยับหมอกกำลังทำกับเธออยู่ตอนนี้
“ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ยาที่เจ้าใช้ไปก็คือผงวิญญาณภูตอย่างไรล่ะวัลยาณี ป่านนี้ไอ้เด็กนั่นคงจะโดนกลืนกินดวงจิตไปหมดเสียแล้วกระมัง” งูเห่าเลื้อยเข้ามาหาพลางหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ วัลยาณีถอยหลังหนีร่างนั้นอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านหลอกลวงข้า!! ท่านทำร้ายวายุภัค ข้าเกลียดท่านพยับหมอก ท่านมันเลวที่สุด!”
“ข้ายอมรับว่าข้าเลว ข้าหลอกลวง แต่ลองถามตัวเองเถอะวัลยาณี ว่าใครกันแน่ที่ทำร้ายวายุภัค” เจ้างูเห่าแสยะยิ้ม ขณะที่วัลยาณียืนนิ่งไปครู่ใหญ่ เธอรู้ว่าคนที่ทำร้ายวายุภัคมากที่สุดก็คือตัวของเธอเอง
วัลยาณีเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีเพลิงของเธอวาวโรจน์ขณะหยิบบางอย่างออกมาในกระเป๋าข้างลำตัวอย่างเชื่องช้า
“ข้าจะฆ่าท่าน แล้วค่อยตามไปขอโทษวายุภัคด้วยกัน” ภูตสาวจ้วงแทงมีดด้ามเล็กเข้าหาเจ้างูเห่าเต็มแรง มันโยกตัวหลบแล้วใช้หางดีดมีดด้ามนั้นจนลอยไปปักอยู่บนเพดานไม้ด้านบน วัลยาณีพลิกตัววิ่งตรงไปที่ประตู แต่ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเปิดประตูบานนั้นได้
“เจ้าไปไหนไม่รอดหรอกวัลยาณี ข้าใจดีกับเจ้ามามาก แต่ตอนนี้ข้าหมดความอดทนแล้ว เตรียมตัวรับบทเรียนของข้าให้ดีเถอะ” เจ้างูเห่าแผ่พังพานแล้วโบกหางไปมา ชั่วครู่ก็ปรากฎร่างชายหนุ่มผิวเข้มขึ้นมาแทนที่ เขารวบตัวภูตสาวเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
วัลยาณีนั่งก้มหน้ากอดเข่า มือทั้งคู่บีบแขนตัวเองเอาไว้จนเป็นรอยแดง ธีรธราดึงมือคู่นั้นออก แล้วรั้งร่างของศิษย์เข้ามาในอ้อมกอด ใช้มือลูบศีรษะนั้นอย่างแผ่วเบา
“ท่านอาจารย์ข้าอยากให้ท่านช่วยฆ่าข้าทิ้งเสีย ข้าไม่อยากให้บิตุรงค์และมาตุเรศต้องมาเจ็บปวดเพราะข้าอีก” วัลยาณีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
“ข้าไม่มีทางฆ่าเจ้าได้หรอกศิษย์รักของข้า แต่เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าจิตที่มุ่งร้าย ท้ายที่สุดแล้วมันจะย้อนกลับมาทำลายดวงจิตของเจ้าเอง และเจ้าจะต้องแลกมาด้วยการแลกเปลี่ยนอันเท่าเทียมกัน”
“ข้าขอโทษท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้นเลย ท่านช่วยฆ่าข้าเสียเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ทำมันลงไปแล้ว ด้วยมือทั้งสองข้างของข้า ข้าทำให้วายุภัคตายด้วยมือของข้า!” ภูตสาวยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าของตัวเองแล้วร่ำไห้
“ข้าดีใจที่อย่างน้อยเจ้าก็คิดได้ด้วยตัวของเจ้าเอง และข้าคิดว่ามีเรื่องนึงที่เจ้าควรจะต้องรู้ศิษย์รัก วายุภัคยังไม่ดับสิ้นหรอก แต่อาการก็ไม่สู้ดีนัก เขาอยู่กึ่งกลางระหว่างการคงอยู่และดับสิ้น และข้าคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการก็คือกำลังใจจากสหายอย่างเจ้านะวัลยาณี”
“เจ้ารู้หรือไม่ ที่วายุภัคตั้งใจเรียนจนได้อันดับหนึ่งในชั้นเรียนล้วนแล้วแต่เป็นเพราะข้าทั้งสิ้น เจ้าทั้งคู่เป็นคนฉลาดแต่กลับเกียจคร้านกันเสียทั้งคู่ ตอนเด็กๆ วายุภัคมักจะชวนเจ้าออกไปเที่ยวเล่นแล้วก็ไม่สนใจการเรียนกันเอาเสียเลย หลังจากเหตุการณ์นั้น เจ้าก็กลับมาตั้งใจเรียนมากขึ้น ส่วนวายุภัคก็ยิ่งทวีความเกียจคร้านเป็นเท่าทวี” ผู้เป็นอาจารย์ส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงภาพภูตตัวแสบสองตนในวัยเยาว์
“ข้าจึงทำสัญญากับวายุภัคว่าถ้าเขาสามารถได้อันดับหนึ่งในชั้นเรียนข้าจะไปขอองค์ราชาพาเขาไปโลกมนุษย์ด้วย เขาก็เลยตั้งใจเรียนเสียยกใหญ่ และเพียงแต่เจ้าจะสังเกต ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเขาก็กลับมาทำตัวเกียจคร้านเหมือนเดิม ในตอนนั้นเขาก็มาหาข้า แล้วบอกข้าว่าเขาคิดว่าเจ้าคงจะโกรธเขาเพราะเขาแย่งตำแหน่งที่เจ้าภาคภูมิใจในชั้นเรียนไป เขาจึงขอทำอย่างอื่นเพื่อไปโลกมนุษย์ในครั้งต่อไปแทน ดังนั้นเจ้าจงไตร่ตรองให้ดีเถิด ว่าสหายของเจ้าเป็นดั่งที่เจ้ากล่าวหามาหรือไม่”
“และเจ้าคงไม่เคยรู้ว่ามาตุเรศของเจ้าเที่ยวชื่นชมเจ้าให้ใครต่อใครฟังอยู่เสมอ เขาภูมิใจในตัวของเจ้ามากนะวัลยาณี ถึงแม้เขาอาจจะแสดงความรักไม่ค่อยเก่ง แต่เชื่อข้าเถอะว่าเขารักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใดวัลยาณี” มือทั้งคู่โอบกอดร่างของศิษย์ที่ร่ำไห้ปานขาดใจเอาไว้ พลางคิดกังวลกับสิ่งที่ผู้เป็นศิษย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย พยับหมอกผู้เป็นใหญ่แห่งป่าอนธการ ดูท่าเรื่องนี้จะไม่จบลงโดยง่ายเสียแล้ว
ภูตเฒ่ากลับมายังที่พักของตนใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่าโปร่งหลังจากเข้าไปดูอาการขององค์ชายตามปกติ บริเวณโดยรอบเรียกได้ว่าเงียบสงบเสียจนเกือบสงัด เพราะภูตส่วนใหญ่มักจะตั้งที่พักอาศัยอยู่บริเวณใจกลางของแดนภูตเสียมากกว่า นานๆ ทีจึงจะมีพวกสัตว์ป่าผ่านมาแถวนี้บ้างสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกสัตว์ก็ไม่ได้ทำอันตรายหรือกัดกินบ้านของเหล่าภูตแม้แต่น้อย เพราะภูตที่จะตั้งที่พักอาศัยจำเป็นจะต้องบอกกล่าวแก่ธรรมชาติเสียก่อน ภูตเฒ่ายังไม่ทันได้ออกแรงเปิดประตูเสียงกร๊อบแกร๊บของเศษใบไม้ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ออกมาเถอะวัลยาณี” ภูตสาวขยับปีกเล็กๆ เข้ามาหาอย่างอ่อนแรง เสื้อผ้าขาดวิ่นอยู่หลายแห่ง ผู้เป็นอาจารย์ผลักบานประตูแล้วหยิบฉวยผ้าผืนโตออกมาให้ศิษย์ใช้คลุมร่างกาย หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยขณะที่เขาประคองให้นางนอนลง
“พักผ่อนสักพักเถิดศิษย์ข้า เมื่อเจ้าอยากเล่า ข้ายินดีที่จะรับฟังเจ้าเสมอ” นางพยักหน้ารับแล้วปิดเปลือกตาลง
ธีรธรากางตำราเล่มโตที่หยิบลงมาจากชั้น ทรุดตัวลงนั่งอ่านเงียบๆ บนเก้าอี้ไม้ขัดมัน ดวงตาคู่นั้นเหลือบมองศิษย์สาวเป็นระยะ ก่อนจะจมจ่อมอยู่กับข้อมูลในตำรา คิ้วสีดอกเสลาขมวดเข้าหากันแน่น แล้วก็คลายออกสลับกันอยู่อย่างนั้น จวบจนพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อย แสงสีส้มอาบไล้ไปทั่วทั้งผืนป่า เสียงแหบแห้งก็ดังขึ้น
“ท่านรู้ใช่ไหมว่าข้าเกลียดวายุภัค” ธีรธราไม่ได้ตอบรับ แต่เงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่บัดนี้นั่งกอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ดวงตาสีเพลิงเหม่อมองออกไปนอกบานหน้าต่าง ราวกับพูดคุยกับสายลมและท้องนภา
ธีรธราส่งน้ำให้ แล้วทรุดตัวลงบนเตียงข้างๆ ศิษย์ เขาฟังเพียงแค่ฟัง ฟังโดยไม่นำใจของตนเข้าไปตัดสินกับสิ่งที่วัลยาณีได้บอกเล่า และไม่เอ่ยขัดใดๆ เรื่องราวต่างๆ ที่เจ้าตัวตั้งใจจะเก็บเป็นความลับจวบจนดับสิ้นจึงพรั่งพรูออกมาราวกับธารน้ำไหลเชี่ยว
หลังจากที่ได้พบเจ้างูเห่าในครั้งนั้นแล้ว วัลยาณีก็มักจะแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนมันอยู่เสมอ ในช่วงแรกๆ ก็เดือนละครั้ง ต่อมาก็กลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง จนแทบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอไปเสียแล้ว วัลยาณีมักจะไปไม่นานเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตมากนัก เธอคิดว่ามาตุเรศคงไม่ชอบใจนักกับสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ เพราะมาตุเรศของเธอกลัวสัตว์จำพวกงูยิ่งกว่าสิ่งใด
พยับหมอกมักจะมีเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้เธอฟังอยู่เสมอ เจ้างูเห่าสีนิลตัวนี้เป็นผู้ฟังที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เวลาเธอเล่าเรื่องต่างๆ มันมักจะเอาหางยาวๆ ของมันมาพันรอบตัวของเธอเอาไว้ เวลาที่เธอเสียใจจนร่ำไห้มันก็จะคอยปลอบใจอยู่เสมอ หางเล็กๆ นั้นจะคอยเช็ดทุกหยดน้ำตาของเธอ แต่ถึงกระนั้นเจ้างูเห่าตัวนี้ก็เป็นงูที่มองโลกในแง่ร้ายจอมฉกาจตัวหนึ่ง คำแนะนำหรือข้อคิดที่มันให้กลับมาจึงมักเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดของภูตอย่างวัลยาณีเสมอ และบางทีเธอก็เผลอเอาสิ่งเหล่านี้ติดตัวมาเธอมาด้วยโดยไม่รู้ตัว บางครั้งเธอถึงกับเห็นภาพเหล่านั้นมาปรากฎในความฝันของเธอ
ภูตสาววัย 239 ปีภูตกำลังนั่งแอบอิงเจ้างูเห่าที่ขยายร่างให้ใหญ่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่เธอ ริมฝีปากอวบอิ่มกำลังเอื้อนเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนให้เจ้างูฟัง
จำนวนภูตในชั้นเรียนแต่ละชั้นมักจะมีจำนวนไม่มากมายนัก และภูตในชั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีการคละอายุ แต่ไม่เกิน 10 ปีภูต เพราะอัตราการก่อกำเนิดของภูตอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก และโดยปกติภูตมักจะมีบุตรหรือบุตรีเพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น มีแค่ไม่กี่ตนที่ก่อกำเนิดภูตจำนวนมากกว่านั้น จึงไม่แปลกที่ชั้นเรียนของวัลยาณีเองจึงมีภูตอยู่เพียงแค่ 10 ตนเท่านั้น
วันนี้เธอร่ำเรียนวิชาโบยบินและการใช้เวทย์ ภูตสาวที่ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งชั้นเรียนมาตลอด 100 ปีภูตที่ผ่านมายกมือขึ้นแล้วเอ่ยอัญเชิญพระอัคคี แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น เจ้างูเห่าส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา โบกหางกลางอากาศ เปลวไฟสีฟ้าลูกใหญ่ก็ปรากฎขึ้น
“เจ้าลืมไปแล้วรึวัลยาณี ว่าในเขตแดนของข้าเวทย์ของเจ้าหาได้เกิดผลใดไม่” มันโบกหางอีกครั้ง เปลวไฟก็ดับมอดไป วัลยาณียู่หน้าพลางจับหางขึ้นมาลูบเล่น เจ้างูเห่าส่งเสียงครางในลำคออย่างพอใจ
“ก็ท่านไม่ยอมสอนข้าเสียทีนี่หน่า สอนข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ภูตสาวเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน
“ยังไม่ถึงเวลาของเจ้าหรอก จงรอไปอีกสักพักเถิด” งูเห่าว่าแล้วขดลำตัวให้แน่นขึ้น เรียกเสียงบ่นกระปอดกระแปดให้ดังเล็ดลอดออกมา
“จริงสิ วันนี้ข้าบินตีลังกาได้ตั้ง 13 ตลบแหนะ แต่วายุภัคบินได้เยี่ยมยอดกว่าข้าเสียอีก เสียดายท่านไม่มีโอกาสได้เห็น” วัลยาณีส่งเสียงชื่นชมออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าอย่าเอ่ยชื่อนี้ให้ข้าได้ยิน มันเป็นคนทำให้เจ้าเจ็บปวดใจไม่ใช่หรือไร หรือเจ้าลืมเสียแล้วว่าใครคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดมา!” เจ้าหูเง่าแผ่พังพานกว้าง จ้องมองคนที่ถูกหางของตนรัดรึงด้วยความโกรธ
“มันทำให้เจ้าโดนลงโทษตอนเป็นเด็กกี่ครั้งกี่คราว เจ้าโดนด่าว่าเพียงเพราะมันหนีออกไปเที่ยวเล่นซุกซน มันใส่ร้ายและกล่าวโทษเจ้า มันเคยแย่งอันดับหนึ่งแห่งชั้นเรียนไปจากเจ้ามิใช่หรือ เจ้าเด็กนั้นมันแย่งความรักความสนใจไปจนหมด แม้กระทั่งจากมาตุเรศของเจ้ามิใช่หรือ เจ้าจะต้องให้ข้าทวนความจำให้เจ้าอีกสักกี่รอบกัน!!!” ดวงตาสีมรกตวาวโรจน์ ลิ้นสองแฉกตวัดไปมา พลางส่งเสียงขู่ฟ่อ
“วัลยาณี มองตาข้า!!” มันใช้หางเรียวบังคับให้ภูตสาวหันมาสบตา
“หากเจ้าเอ่ยเรื่องของมันอีกครา ข้ารับรองว่าเจ้าจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสมที่สุด!” เจ้างูเห่าส่งเสียงลอดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ
มือเรียวผลักบานประตูเข้าไปหลังจากได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยเล็ดลอดออกมาจากด้านใน บนโต๊ะมีตะกร้าใบโต ชมพู่ลูกสีชมพูอวบอิ่มนอนเรียงกายอยู่ในภายใน ปักษธรกำลังลูบหัวทุยๆ นั้นอย่างเอ็นดู ริมฝีปากแย้มยิ้มสดใส ดวงตาสีเพลิงจองมองภาพนั้นเป็นประกาย
“วัลยาณีมานี่สิ ข้าเก็บชมพู่มาฝากเจ้าเยอะแยะเลยนะ เจ้าชอบไหม” วายุภัคหยิบชมพู่ในตะกร้าแล้วส่งให้ ภูตสาวปัดมือสหายรักออกอย่างไม่ไยดี ชมพู่ลูกน้อยกลิ้งลงไปบนพื้นไม้ เธอใช้ฝ่าเท้าเหยียบย่ำเสียไม่เหลือสภาพเดิม มันกลายเป็นเพียงเศษซากแบนๆ ติดอยู่กับพื้นไม้
“วัลยาณี!” ปักษธรเอ่ยเรียกนามบุตรีด้วยความโมโห
“ท่านปักษธรข้าว่าวัลยาณีคงจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ เอ่อ...ข้าขอโทษนะที่เซ้าซี้เจ้าแบบนี้ ท่านอย่าว่ากล่าวนางเลยนะ” วายุภัคเอ่ยก่อนจะขอตัวกลับ ขณะที่คนก่อเรื่องเดินหนีเข้าห้องของตัวเองไปโดยไม่กล่าวแม้แต่คำร่ำลา
ภาพที่ได้เห็นราวกับจะช่วยตอกย้ำความจริงที่เพิ่งได้ฟังจากสหายในยามราตรี ไฟแห่งความเกลียดชังที่ถูกจุดขึ้นตั้งแต่ยังเด็กเริ่มแผ่ขยายและเพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ
ค่ำคืนนั้นวัลยาณีหลับฝันเห็นภาพความทรงจำต่างๆ ที่มีร่วมกับวายุภัคตั้งแต่วัยเด็ก แต่คราวนี้เธอไม่ได้เป็นวัลยาณีที่ตัวเล็กเฉกเช่นที่ผ่านมา วัลยาณีในวัย 239 ปีภูติ เดินเข้าไปกระซิบที่หูเล็กๆ ของวัลยาณีในวัยเยาว์ ครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องแล้วเรื่องเล่า เสียงเจ้างูเห่าดังขึ้นในห้วงหนึ่ง “มันเป็นคนทำให้เจ้าเจ็บปวดใจไม่ใช่หรือไร”
วัลยาณีสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงฝัน มือเรียวดึงรั้งผ้าห่มผืนงามเอาไว้แน่น หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาจากก้นบึ้งแห่งความเกลียดชัง
รุ่งขึ้นวัลยาณีก็ยังคงปฏิบัติตัวต่อวายุภัคอย่างปกติ แต่เธอรู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกครั้งที่วายุภัคออกไปเที่ยวเล่นกับวัลยาณีมักจะได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ กลับมาเสมอ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะวายุภัคมักจะซุกซนจนได้บาดแผลอยู่เป็นประจำ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินในลักษณะเช่นนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งวายุภัคบ่นกับภูตสาวว่าอยากลงไปยังโลกมนุษย์อีกครา เพียงแต่ติดอยู่ที่ผู้เป็นอาจารย์ไม่ยอมให้เจ้าตัวได้สมความปรารถนาเสียที วัลยาณีจึงหาทางช่วยสหายรักอย่างเต็มใจ เธอวางแผนให้วายุภัคออกเดินทางในช่วงที่ไม่มีการร่ำเรียนเนื่องจากผู้เป็นอาจารย์จะเข้าป่าไปทำการตรวจตราความเป็นอยู่ของพวกสัตว์ในป่าทั้งสี่ทิศ ทำให้ไม่มีใครสงสัยว่าวายุภัคหายตัวไปไหนได้เป็นเวลานาน และค่อนข้างแน่นอนว่าวายุภัคจะได้รับอนุญาตให้ติดตามอาจารย์ไป
เมื่อถึงวันเดินทางทั้งคู่นัดพบกันที่หน้าประตูไม้บานโตที่เริ่มมีร่องรอยแห่งกาลเวลาปรากฎให้เห็นมากขึ้น แต่ก็ยังคงไว้ด้วยความงดงามในตัวของมันเอง ภูตสาวยื่นกุญแจสีเงิน แล้วเอ่ยคำอวยพรขอให้สหายรักโชคดี แต่หลังจากวายุภัคผ่านพ้นประตูแห่งกาลเวลาได้ไม่นาน วัลยาณีก็ก้าวเท้าตามเข้าไปบ้าง
วัลยาณียกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นวายุภัคได้แต่แอบอยู่หลังพุ่มไม้ไม่กล้าแม้แต่จะออกไป เธอร่ายมนต์กำบังใส่วายุภัคอีกครั้งแล้วกลับไปยังแดนภูต เธออยากให้เขารับรู้และดื่มด่ำกับรสชาติของการไม่มีตัวตนในสายตาคนที่เขารักอย่างเต็มที่
หลายวันผ่านไป แต่วายุภัคยังคงไม่กลับคืนมาจากโลกมนุษย์อย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ วัลยาณีเริ่มร้อนใจและนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเจ้างูเห่า มันยื่นขวดสีขาวขุ่นขนาดเล็กให้แก่เธอ บอกถึงวิธีใช้ และผลที่จะเกิดขึ้นว่าผงที่อยู่ในนี้จะทำให้ภูตนั้นป่วย โดยอาการจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดภูตตนนั้นก็จะกลับมายังโลกภูตเอง เธอกำขวดนั้นเอาไว้แน่นแล้วเอ่ยลาเจ้างูเห่า
ภาพที่ปรากฎตรงหน้าไม่ใช่ภาพวายุภัคที่กำลังเศร้าสร้อยอย่างที่เธออยากให้เป็น ตรงกันข้ามวายุภัคกำลังมีความสุขอยู่กับคนที่เจ้าตัวยึดมั่นมาตลอด 240 ปีภูต และเป็นคนเดียวกับคนที่แย่งชิงความสนใจของวายุภัคในวัยเด็กไปจากเธอจนหมด
วัลยาณีฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่นำผงในขวดใส่ลงไปในเครื่องปรุงรสขวดแล้วขวดเล่า แล้วแอบดูสถานการณ์อยู่อย่างเงียบๆ ผ่านไปไม่นานนักวายุภัคก็เริ่มแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่เจ้าตัวก็พยายามกลบเกลื่อนอาการเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มร่างสูง เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ แต่คนหัวดื้อก็ยังไม่ยอมกลับโลกภูตเสียที วัลยาณีออกอาการหงุดหงิดจนเห็นได้ชัดทุกครั้งเมื่อต้องกลับไปโลกภูตตามลำพัง
เธอไปๆ มาๆ ระหว่างสองโลกนับครั้งไม่ถ้วน และทำแม้กระทั่งตามออกไปเมื่อพวกเขาไปเที่ยวกัน แน่นอนว่าเชือกที่ขาดนั้นไม่ใช่ฝีมือใครอื่น เธอแค่อยากจะขู่ให้วายุภัคกลัวและรีบกลับเสียที แต่ใครจะไปรู้ว่าวายุภัคช่างดื้อดึงยิ่งนัก ทั้งๆ ที่สภาพร่างกายของตนย่ำแย่ เธอเคยคิดที่จะเปลี่ยนแผนอยู่หลายครั้ง แต่อะไรๆ กลับไม่เป็นใจให้เธอทำเช่นนั้นได้
วินาทีที่เห็นวายุภัคแน่นิ่งไปจากสิ่งที่เธอกระทำ หัวใจและร่างกายของวัลยาณีเย็นเยียบราวกับถูกนำไปแช่ในบ่อน้ำในเหมันต์ฤดู เธอได้แต่ยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างแบบนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ทำมันลงไปแล้วด้วยมือทั้งสองข้างของเธอเอง แต่แล้วเธอกล่าวปฏิเสธออกมาโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้กลายเป็นนิสัยของเธอไปเสียแล้ว เธอโยนความผิดทั้งหมดให้แก่ชายหนุ่มที่กำลังกอดร่างของวายุภัคเอาไว้ แล้วรีบกลับไปยังโลกภูต
วัลยาณีตรงดิ่งไปหาเจ้างูเห่าทันทีที่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
“พยับหมอกท่านอยู่หรือไม่ เปิดประตูให้ข้าหน่อย!!” วัลยาณีทุบบานประตูเสียงดังโดยไม่สนใจว่ามือของตนจะเจ็บหรือไม่
“เจ้าตามหาข้าอย่างนั้นรึ?” เจ้างูเห่าโผล่มาด้านหลังของเธอ
“ยาขวดนั้นที่ท่านให้ข้าไป ข้าอยากได้สิ่งที่ช่วยชะล้างฤทธิ์ของมันได้ ยาแก้พิษ วิธีแก้ไขหรืออะไรก็ได้ ท่านช่วยเอามาให้ข้าที ข้าต้องการใช้เดี๋ยวนี้ เอามาให้ข้าเร็วเข้าสิ!” เจ้างูเห่าจับจ้องภูตตรงหน้านิ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้าเพียงเพราะไอ้เด็กงี่เง่านั่นวัลยาณี” มันเลื้อยหนีเข้าไปในที่พักอย่างรวดเร็ว วัลยาณีตามเข้ามาด้วยความโมโหไม่แพ้กัน
“ท่านรู้ว่าคนที่ข้าจะเอายานั่นไปใช้คือวายุภัค ท่านเลยเอายานั้นมาให้ข้าอย่างนั้นรึ”
“ฉลาดนี่วัลยาณี และข้าเตือนเจ้าแล้วว่าถ้าเจ้าเอ่ยถึงมัน เจ้าจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสมที่สุด” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นอีกครั้งราวกับต้องการจะเยาะเย้ย
วัลยาณีรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งโดนตบหน้าฉาดใหญ่ วินาทีนั้นภาพในวัยเด็กก็หวนกลับมาอีกครั้ง เธอเห็นภาพของตัวเองและพยับหมอกทับซ้อนกัน ตอนที่เธอเรียกร้องความสนใจต่างๆ นาๆ หรือแม้กระทั่งตอนยื้อแย่งไข่ใบโตจากวายุภัคจนมันหลุดมือไป ก็ไม่ต่างจากสิ่งพยับหมอกกำลังทำกับเธออยู่ตอนนี้
“ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ยาที่เจ้าใช้ไปก็คือผงวิญญาณภูตอย่างไรล่ะวัลยาณี ป่านนี้ไอ้เด็กนั่นคงจะโดนกลืนกินดวงจิตไปหมดเสียแล้วกระมัง” งูเห่าเลื้อยเข้ามาหาพลางหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ วัลยาณีถอยหลังหนีร่างนั้นอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านหลอกลวงข้า!! ท่านทำร้ายวายุภัค ข้าเกลียดท่านพยับหมอก ท่านมันเลวที่สุด!”
“ข้ายอมรับว่าข้าเลว ข้าหลอกลวง แต่ลองถามตัวเองเถอะวัลยาณี ว่าใครกันแน่ที่ทำร้ายวายุภัค” เจ้างูเห่าแสยะยิ้ม ขณะที่วัลยาณียืนนิ่งไปครู่ใหญ่ เธอรู้ว่าคนที่ทำร้ายวายุภัคมากที่สุดก็คือตัวของเธอเอง
วัลยาณีเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีเพลิงของเธอวาวโรจน์ขณะหยิบบางอย่างออกมาในกระเป๋าข้างลำตัวอย่างเชื่องช้า
“ข้าจะฆ่าท่าน แล้วค่อยตามไปขอโทษวายุภัคด้วยกัน” ภูตสาวจ้วงแทงมีดด้ามเล็กเข้าหาเจ้างูเห่าเต็มแรง มันโยกตัวหลบแล้วใช้หางดีดมีดด้ามนั้นจนลอยไปปักอยู่บนเพดานไม้ด้านบน วัลยาณีพลิกตัววิ่งตรงไปที่ประตู แต่ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเปิดประตูบานนั้นได้
“เจ้าไปไหนไม่รอดหรอกวัลยาณี ข้าใจดีกับเจ้ามามาก แต่ตอนนี้ข้าหมดความอดทนแล้ว เตรียมตัวรับบทเรียนของข้าให้ดีเถอะ” เจ้างูเห่าแผ่พังพานแล้วโบกหางไปมา ชั่วครู่ก็ปรากฎร่างชายหนุ่มผิวเข้มขึ้นมาแทนที่ เขารวบตัวภูตสาวเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
วัลยาณีนั่งก้มหน้ากอดเข่า มือทั้งคู่บีบแขนตัวเองเอาไว้จนเป็นรอยแดง ธีรธราดึงมือคู่นั้นออก แล้วรั้งร่างของศิษย์เข้ามาในอ้อมกอด ใช้มือลูบศีรษะนั้นอย่างแผ่วเบา
“ท่านอาจารย์ข้าอยากให้ท่านช่วยฆ่าข้าทิ้งเสีย ข้าไม่อยากให้บิตุรงค์และมาตุเรศต้องมาเจ็บปวดเพราะข้าอีก” วัลยาณีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
“ข้าไม่มีทางฆ่าเจ้าได้หรอกศิษย์รักของข้า แต่เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าจิตที่มุ่งร้าย ท้ายที่สุดแล้วมันจะย้อนกลับมาทำลายดวงจิตของเจ้าเอง และเจ้าจะต้องแลกมาด้วยการแลกเปลี่ยนอันเท่าเทียมกัน”
“ข้าขอโทษท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้นเลย ท่านช่วยฆ่าข้าเสียเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ทำมันลงไปแล้ว ด้วยมือทั้งสองข้างของข้า ข้าทำให้วายุภัคตายด้วยมือของข้า!” ภูตสาวยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าของตัวเองแล้วร่ำไห้
“ข้าดีใจที่อย่างน้อยเจ้าก็คิดได้ด้วยตัวของเจ้าเอง และข้าคิดว่ามีเรื่องนึงที่เจ้าควรจะต้องรู้ศิษย์รัก วายุภัคยังไม่ดับสิ้นหรอก แต่อาการก็ไม่สู้ดีนัก เขาอยู่กึ่งกลางระหว่างการคงอยู่และดับสิ้น และข้าคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการก็คือกำลังใจจากสหายอย่างเจ้านะวัลยาณี”
“เจ้ารู้หรือไม่ ที่วายุภัคตั้งใจเรียนจนได้อันดับหนึ่งในชั้นเรียนล้วนแล้วแต่เป็นเพราะข้าทั้งสิ้น เจ้าทั้งคู่เป็นคนฉลาดแต่กลับเกียจคร้านกันเสียทั้งคู่ ตอนเด็กๆ วายุภัคมักจะชวนเจ้าออกไปเที่ยวเล่นแล้วก็ไม่สนใจการเรียนกันเอาเสียเลย หลังจากเหตุการณ์นั้น เจ้าก็กลับมาตั้งใจเรียนมากขึ้น ส่วนวายุภัคก็ยิ่งทวีความเกียจคร้านเป็นเท่าทวี” ผู้เป็นอาจารย์ส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงภาพภูตตัวแสบสองตนในวัยเยาว์
“ข้าจึงทำสัญญากับวายุภัคว่าถ้าเขาสามารถได้อันดับหนึ่งในชั้นเรียนข้าจะไปขอองค์ราชาพาเขาไปโลกมนุษย์ด้วย เขาก็เลยตั้งใจเรียนเสียยกใหญ่ และเพียงแต่เจ้าจะสังเกต ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเขาก็กลับมาทำตัวเกียจคร้านเหมือนเดิม ในตอนนั้นเขาก็มาหาข้า แล้วบอกข้าว่าเขาคิดว่าเจ้าคงจะโกรธเขาเพราะเขาแย่งตำแหน่งที่เจ้าภาคภูมิใจในชั้นเรียนไป เขาจึงขอทำอย่างอื่นเพื่อไปโลกมนุษย์ในครั้งต่อไปแทน ดังนั้นเจ้าจงไตร่ตรองให้ดีเถิด ว่าสหายของเจ้าเป็นดั่งที่เจ้ากล่าวหามาหรือไม่”
“และเจ้าคงไม่เคยรู้ว่ามาตุเรศของเจ้าเที่ยวชื่นชมเจ้าให้ใครต่อใครฟังอยู่เสมอ เขาภูมิใจในตัวของเจ้ามากนะวัลยาณี ถึงแม้เขาอาจจะแสดงความรักไม่ค่อยเก่ง แต่เชื่อข้าเถอะว่าเขารักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใดวัลยาณี” มือทั้งคู่โอบกอดร่างของศิษย์ที่ร่ำไห้ปานขาดใจเอาไว้ พลางคิดกังวลกับสิ่งที่ผู้เป็นศิษย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย พยับหมอกผู้เป็นใหญ่แห่งป่าอนธการ ดูท่าเรื่องนี้จะไม่จบลงโดยง่ายเสียแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย เลื่อมประภัสสร เมื่อ Tue May 13, 2014 10:01 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 11
ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิต จะคนหรือไม่ใช่ก็ต้องมีเรื่องผิดบาปสักอย่างสองอย่าง
สงสารวัลยาณี สงสารวา ขอให้ฟื้นและหายเร็วๆ
สงสารวัลยาณี สงสารวา ขอให้ฟื้นและหายเร็วๆ
น้ำไหล- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 172
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 11
แอบเสียใจที่วัลยาณีเป็นผญ.. (เอ๊ะ! ยังไงกัน^^")
เป็นกำลังใจให้ทุกคนน้า~
เป็นกำลังใจให้ทุกคนน้า~
Sier- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 107
Join date : 11/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 11
นี่ล่ะน้า ความอิจฉาริษยา มันไม่เคยสร้างผลดีให้กับใคร แถมทำให้ใจเรามืดบอดและเป็นทุกข์ด้วย หนูวัลยาณี คงได้บทเรียนแล้วสินะทีนี้
หมึกจีน- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 81
Join date : 01/04/2014
Similar topics
» Fairy Tell - บทที่ 1
» Fairy Tell - บทที่ 12
» Fairy Tell - บทที่ 13
» Fairy Tell - บทที่ 2
» Fairy Tell - บทที่ 3
» Fairy Tell - บทที่ 12
» Fairy Tell - บทที่ 13
» Fairy Tell - บทที่ 2
» Fairy Tell - บทที่ 3
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|