ค้นหา
Latest topics
» Who’s the KING? } 16 [END]by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:30 pm
» Who’s The KING? } 15 - Special part form Pramuk.
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:25 pm
» Who’s the KING? } 15
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:23 pm
» Who’s the KING? } 14
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:09 pm
» Who’s the KING? } 13
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:01 pm
» Who’s the KING? } 12
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:50 pm
» Who’s the KING? } 11
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:40 pm
» Who’s the KING? } 10
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 5:59 pm
» Who’s the KING? } 9
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:39 pm
» Who’s the KING? } 8
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:31 pm
» Who’s the KING? } 7
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:19 pm
» Who’s the KING? } 6
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 1:49 pm
» Who’s the KING? } 5
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:57 am
» Who’s the KING? } 4
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #2 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:26 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #1
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:13 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /14 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:03 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /13
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:54 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /12
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /11
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:33 am
Fairy Tell - บทที่ 8
+2
น้ำไหล
เลื่อมประภัสสร
6 posters
หน้า 1 จาก 1
Fairy Tell - บทที่ 8
บทที่ 8
เอกภักดิ์นั่งกอดเข่าเงียบๆ อยู่ที่มุมห้องไม่ห่างจากเตียงนัก ไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป แต่อากาศที่เย็นลงก็ทำให้เขากระชับอุ้งมือให้แน่นขึ้นได้ เขาเหม่อมองร่างเล็กที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น ไม่รู้ถึงการปรากฏตัวของบุคคลแปลกหน้า จนกระทั่งมืออุ่นๆ แตะลงบนบ่า
“เอกภักดิ์… พอเถอะ” สุ่มเสียงแว่วหวานดังขึ้น เรียกให้เอกภักดิ์หันกลับมามอง
ผู้หญิงที่มีดวงหน้างดงามกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง ผมสีดำสนิทช่วยขับความงามจากใบหน้าให้เด่นชัดยิ่งขึ้นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองตรงมาทำให้เขาสามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นได้เป็นอย่างดี เธอยืนมือออกมาตรงหน้าแล้วเอ่ยคำขอ
“เจ้าจะช่วยส่งองค์ชายมาให้ข้าได้หรือไม่”
“องค์ชาย? องค์ชายอะไร? หรือเพียงเพราะว่าเขาเป็นองค์ชายพวกคุณเลยทำร้ายเขาอย่างนั้นเหรอ ผมไม่มีวันส่งเขาให้พวกคุณเด็ดขาด ถ้าอยากได้มากนักก็ข้ามผมไปให้ได้ก่อนแล้วกัน” เอกภักดิ์ยันตัวขึ้นแล้วมองตาขวางไปคนที่ลุกตามขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เจ้าเด็กโง่! ส่งองค์ชายมาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน” ผู้ชายร่างสูงใหญ่ตรงเข้ามาหาพลางเอ่ยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ดวงตาสีมรกตที่จ้องมาทำให้เอกภักดิ์เผลอมองเจ้าของดวงตาสีมรกตอีกคู่ เปิดโอกาสให้โดนประชิดได้อย่างง่ายดาย มือใหญ่จับแขนเอกภักดิ์ที่ขัดขืนเอาไว้แน่น
“ท่านพี่หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เพียงสัมผัสบางเบาที่ต้นแขนเท่านั้นมือใหญ่ก็คลายออก
“ปล่อยให้ข้าคุยกับเขาเถอะ” ร่างใหญ่พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะยอมถอยออกมาแต่โดยดี
“เอกภักดิ์ฟังข้า… พวกข้าไม่มีวันคิดร้ายต่อองค์ชายเด็ดขาด เชื่อใจข้าเถอะ ส่งองค์ชายมาให้ข้าดูอาการหน่อยได้หรือไม่”
เอกภักดิ์นิ่งคิดไปชั่วครู่ก็เอื้อมมือออกไปข้างหน้า หญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนยาวกร่อมเท้าเยื้องย่างเข้ามาหาพลางช้อนร่างเล็กๆ นำไปวางลงบนเตียง แล้วเปลี่ยนแปลงขนาดร่างกายให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ปีกเล็กๆ ปรากฏอยู่บริเวณกลางหลัง แสงระเรือล้อมรอบกายเล็กๆ นั้นเอาไว้ เธอนั่งลงด้านข้างแล้วเริ่มจับบริเวณข้อมือของคนที่นอนอยู่
“ภรรยาข้าไม่ทำอะไรองค์ชายหรอก อีกอย่างนางเชี่ยวชาญวิชาการรักษาเป็นอย่างดี…” ร่างใหญ่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเอกภักดิ์จ้องร่างเล็กๆ บนเตียงแทบไม่กระพริบตา
“เจ้าช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังได้หรือไม่” เอกภักดิ์พยักหน้ารับแล้วเริ่มเล่าถึงอาการและเสียงปริศนาที่ได้ยินให้แก่คนร่างใหญ่ฟัง
“ผู้หญิงอย่างนั้นรึ ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นผู้ใด” คนกล่าวมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าขออนุญาตตรวจสอบอาหารของเจ้าเสียหน่อยนะ แต่ข้าอยากจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง อาหารมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำอันตรายอะไรภูตอย่างพวกเราได้หรอกนะ” ผู้ชายคนนั้นกลายร่างเป็นภูตตัวเล็ก หยิบโจ๊กในชามขึ้นมาวางไว้ในฝ่ามือ เทลูกไฟจิ๋วออกมาจากกระบอกไม้ที่มีลวดลายงดงามสลักอยู่โดยรอบ โบกมือไปมาสองสามทีแล้วยกมือขึ้น เกิดสายลมพัดผ่านเพียงบางเบา ทันใดนั้นไฟก็ลุกท่วมทั้งฝ่ามือ แต่คนที่โดยไฟท่วมกลับไม่แสดงถึงท่าทางว่าเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
เพียงชั่วครู่ไฟที่เคยลุกท่วมก็ค่อยๆ มอดจนดับสนิทไปในที่สุด เหลือทิ้งเอาไว้เพียงแค่เศษฝุ่นผงสีเทาบริเวณกลางฝ่ามือเท่านั้น เขาสูดดมกลิ่นแล้วใช้นิ้วแตะเข้าไปในปาก
“ผงวิญญาณภูต…” ภูตตนนั้นพึมพำออกมา แล้วบินตรงไปยังเตียงทันที
“ท่านพี่ดวงจิตขององค์ชายอ่อนแรงยิ่งนัก ราวกับคนที่อยู่ระหว่างการคงอยู่และการดับสิ้น แต่ข้ากลับหาสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้เลย” ภูตอีกตนเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่ต่างจากชายหนุ่มที่ยืนภาวนาให้ร่างที่นอนอยู่ปลอดภัย
“ข้าคิดว่าเป็นเพราะของสิ่งนี้”
“ผงวิญญาณภูต… ใครกันที่กล้าปองร้ายองค์ชายถึงกับใช้ของต่ำช้าเยี่ยงนี้!!” ภูตสาวเบือนหน้าหนีจากมือคู่นั้นแทบจะทันที เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ขณะที่อีกฝ่ายนำผงสีเทาเก็บเข้ากระบอกไม้อีกอันไป
“กลับไปข้าคงต้องเร่งสืบสวนโดยด่วน เจ้าอย่าได้แพร่งพรายความลับนี้ให้รั่วไหลออกไป” ภูตสาวพยักหน้ารับ ภูตหนุ่มจึงเร่งเอ่ยถาม
“แล้วเจ้ามีวิธีช่วยเหลือองค์ชายอย่างไรบ้าง?”
“ถ้าเป็นผงวิญญาณภูตจริงก็ลำบากแล้วท่านพี่ ในตำราที่ข้าเคยร่ำเรียนบอกว่าไม่มียาชนิดใดที่จะสามารถรักษาอาการที่เกิดจากผงวิญญาณภูตได้ ที่ทำได้ก็แค่ประคองและรักษาตามอาการเท่านั้น อย่างที่ท่านพี่เคยเห็นในการสู้รบว่าภูตที่สัมผัสผงวิญญาณภูตเข้าไปในปริมาณมากจะดับสิ้นไปภายในเวลาไม่นาน หรือถ้าปีกสัมผัสกับผงวิญญาณภูตมันก็จะค่อยๆ กลืนกินปีกจนบินไม่ได้อีกในที่สุด”
ผงวิญญาณภูตสร้างขึ้นจากดวงจิตและกระดูกของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ถูกฆ่า หรือทรมานจนตาย จากนั้นนำกระดูกและดวงจิตเหล่านั้นมากังขังเอาไว้ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบได้ เมื่อผงวิญญาณภูตถูกนำมาใช้ ดวงจิตที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาทเหล่านั้นจะเข้าทำลายสิ่งที่มันได้พบเจอเพื่อเป็นการแก้แค้น พวกมันเข้าใจสิ่งที่มันพบคือสิ่งที่ทำร้ายพวกมัน
ผงวิญญาณภูตนั้นไร้สีไร้กลิ่นจึงยากแก่การตรวจสอบ จำเป็นต้องใช้พลังจากพระอัคคีในการเผาผลาญเท่านั้นจึงจะปรากฏรูปลักษณ์ที่แท้จริงให้เห็น ผงวิญญาณภูตจึงเป็นของที่เป็นภัยอย่างมหันต์ และถือเป็นของต้องห้ามในดินแดนภูต
“ผู้ที่รับผงวิญญาณภูตเข้าไปในร่างกาย เริ่มแรกมันจะหลอกล่อดวงจิตเอาไว้ภายในร่างกาย คนที่โดนมักจะมีอาการหลับลึกและเห็นสิ่งชั่วร้ายภายในฝัน แต่กลับไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ด้วยตนเอง และต้องทรมานจากฝันนั้น จากนั้นมันจะกังขังดวงจิตของเจ้าของร่างเอาไว้ภายใน แล้วค่อยๆ กลืนกินดวงจิตนั้น”
“แต่ในความโชคร้ายก็นับว่ายังมีความโชคดีที่องค์ชายโชคดีที่ไม่ได้สัมผัสมันโดยตรง แม้ว่าองค์ชายจะทานมันเข้าไปในร่างกายแต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยนักเมื่อเทียบกับที่ใช้ในช่วงสู้รบกัน นอกจากนี้องค์ชายยังได้รับพลังจากหินมูลนกการเวกทำให้ผงวิญญาณภูตไม่สามารถทำร้ายองค์ชายได้อย่างเต็มที่ แต่การรักษานั้น…”
“ไม่เป็นไรนะ ข้าเชื่อว่าองค์ราชาและองค์รานีจะเข้าใจ เจ้าทำดีที่สุดแล้ว” ภูตหนุ่มเอื้อมมือไปกุมภูตอีกตนเอาไว้
“พวกคุณจะบอกว่าไม่สามารถรักษาวายุภัคได้อย่างนั้นเหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน
“จริงๆ แล้วข้าเคยอ่านเจอในตำราโบราณ มีอยู่วิธีหนึ่งที่จะรักษาอาการนี้ได้ แต่การจะรักษานั้นจำเป็นจะต้องใช้ดวงจิตของคู่ทางจิตวิญญาณของเจ้าของร่าง”
“แต่ว่า…” ภูตหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นมา
“ท่านพี่… ข้าอยากทำให้ดีที่สุด และข้าไม่สามารถตัดสินทางเดินชีวิตของใครได้ ข้าไม่อยากทำผิดซ้ำสอง ครานี้ข้าจะให้เขาเป็นผู้เลือกทางเดินของตนเอง”
“แต่ข้าคิดว่า…”
“ได้โปรดเถิดท่านพี่ ให้ข้าบอกความจริงแก่เขา” ภูตหนุ่มพยักหน้ารับ ภูตสาวบินมาด้านหน้าของชายหนุ่มแล้วเริ่มพูด
“เอกภักดิ์ได้โปรดฟังข้า ทุกสิ่งที่ข้าจะพูดนับตั้งแต่วินาทีนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความสัตย์จริง และทางเลือกนั้นเจ้าจำเป็นจะต้องเลือกด้วยตัวของเจ้าเอง”
“ข้ามีนามว่า วสุนธรา ส่วนท่านผู้นี้เป็นจอมทัพแห่งโลกภูตรานามว่า ปราณันต์ เมื่อนานมาแล้วพวกข้าทั้งคู่ได้ผ่านการอภิเษกและบุตรของพวกข้าก็ได้ถือกำเนิดขึ้น บุตรแห่งข้ามีนามว่า เอกภักดิ์ ที่แปลว่า ซื่อตรง” เอกภักดิ์พยักหน้ารับ และคิดว่าชื่อของตัวเองช่างโหลยิ่งนัก แม้กระทั่งในโลกภูตเองก็ยังมีคนที่ชื่อเหมือนกันกับเขาอยู่อีก
“เอกภักดิ์เจ้าเป็นบุตรของเรา” เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ปราณันต์จึงเอ่ยสำทับขึ้น
“ผมว่าพวกคุณคงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ แต่ผมเป็นมนุษย์ไม่ใช่ภูต” เอกภักดิ์เบิกตากว้างมองภูตสองตนอย่างไม่เชื่อถือเท่าไหร่นัก สมมติว่าวันนึงมีคนมาบอกว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นเอเลี่ยนเขาก็คงไม่เชื่อเหมือนกันนั่นแหละ และยิ่งไปกว่านั้นถ้าดูจากหน้าตาแล้วภูตทั้งสองน่าจะมีอายุห่างจากเขาไม่กี่ปีเท่านั้น
“ข้าหาได้เข้าใจผิดไม่ เมื่อสักครู่ที่ข้าสัมผัสเจ้า ข้าก็สัมผัสได้ถึงดวงจิตแห่งภูตที่อยู่ภายในตัวเจ้า ถึงแม้มันจะเบาบางมากก็ตาม” ภูตสาวนามวสุนธราเอ่ย
“ผมเป็นภูตงั้นเหรอ? แต่ทำไมผมถึงไม่มีปีกอย่างพวกคุณล่ะครับ หูก็ไม่แหลมด้วย” ปราณันต์ไม่ตอบคำถาม แต่กลับให้ทางเลือกกับเจ้าตัวแทน
“เรื่องมันยาวนัก ข้าสัญญาว่าจะเล่าให้เจ้าฟังในภายหลัง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือการรักษาองค์ชาย แต่พวกข้าไม่บังคับเจ้าหรอกนะ เพราะเจ้าถือว่าเป็นคนของโลกมนุษย์”
“สมมตินะครับว่าผมเป็นภูต เป็นเอ่อ…ลูกพวกคุณจริงๆ แต่พวกคุณรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นคู่ทางจิตวิญญาณของวายุภัค”
“คู่ทางจิตวิญญาณมักจะมีจิตที่สื่อถึงกัน เมื่อพบกันครั้งแรกจะมีเส้นใยแห่งจิตวิญญาณแสดงออกมาให้เห็น และพวกข้าเป็นผู้ที่ประจักษ์แก่สายตาของตนเอง ถ้าเจ้ายังไม่เชื่ออีกข้าจะแสดงให้เจ้าดู”
วสุนธรา และปราณันต์ยืนอยู่ด้านข้างของวายุภัคแล้วเริ่มเอ่ยวาจา
“ในนามแห่งข้าผู้ผูกดวงจิตเป็นหนึ่งเดียว ขอเส้นใยแห่งจิตวิญญาณจงปรากฏแก่ผู้ที่เป็นคู่ทางจิตวิญญาณของกันและกัน” สิ้นคำลำแสงสีแดงเส้นเล็กๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือด้านซ้ายของร่างที่นอนอยู่จนไปบรรจบกับฝ่ามือด้านซ้ายของเอกภักดิ์ที่ยืนนิ่งอยู่ แต่เส้นนั้นกลับดูบางเบา และซีดจาง
เอกภักดิ์ได้แต่ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นานนักเส้นสีแดงนั้นก็จางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ บางทีสิ่งนี้อาจจะพออธิบายได้ว่าทำไมเมื่อครั้งที่วายุภัคใช้มนต์กำบังแล้วเขาถึงยังเห็นเจ้าตัวอยู่ ทั้งๆ ที่คนอื่นรอบกายเขามองไม่เห็น
“สิ่งที่เจ้าเห็น แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังมีดวงจิตแห่งภูตหลงเหลืออยู่ในภายใน แต่ถึงกระนั้น การรักษาที่ข้าว่า ข้าเองก็ยังไม่เคยลองรักษาหรือว่าเห็นการรักษานั้นด้วยตาของตนเอง ดังนั้นข้าไม่สามารถยืนยันได้ว่าการรักษานั้นจะสำเร็จหรือไม่” วสุนธราเอ่ยขึ้น
“บุตรแห่งข้า พวกข้าได้ให้ทางเลือกแก่เจ้าแล้ว ขอเจ้าจงเป็นผู้ตัดสินทางเดินด้วยตัวของเจ้าเองเถิด” ปราณันต์เอ่ยสำทับแล้วยืนนิ่งรอการตัดสินใจจากคนตรงหน้า
ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด มีเพียงความสงัดเท่านั้นที่กำจายอยู่ทั่วทุกอณูของห้อง
บนโต๊ะทำงานมีเพียงซองจดหมายสีขาววางสงบนิ่งอยู่ ด้านบนของมันถูกหินสีดำขลับที่มีรูขนาดใหญ่ตรงกลางวางทับเอาไว้…
ตัวละครใหม่งอกมาแล้ว 2 และจะตามมาอีกเพียบค่ะ เฮือก
เอกภักดิ์นั่งกอดเข่าเงียบๆ อยู่ที่มุมห้องไม่ห่างจากเตียงนัก ไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป แต่อากาศที่เย็นลงก็ทำให้เขากระชับอุ้งมือให้แน่นขึ้นได้ เขาเหม่อมองร่างเล็กที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น ไม่รู้ถึงการปรากฏตัวของบุคคลแปลกหน้า จนกระทั่งมืออุ่นๆ แตะลงบนบ่า
“เอกภักดิ์… พอเถอะ” สุ่มเสียงแว่วหวานดังขึ้น เรียกให้เอกภักดิ์หันกลับมามอง
ผู้หญิงที่มีดวงหน้างดงามกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง ผมสีดำสนิทช่วยขับความงามจากใบหน้าให้เด่นชัดยิ่งขึ้นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองตรงมาทำให้เขาสามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นได้เป็นอย่างดี เธอยืนมือออกมาตรงหน้าแล้วเอ่ยคำขอ
“เจ้าจะช่วยส่งองค์ชายมาให้ข้าได้หรือไม่”
“องค์ชาย? องค์ชายอะไร? หรือเพียงเพราะว่าเขาเป็นองค์ชายพวกคุณเลยทำร้ายเขาอย่างนั้นเหรอ ผมไม่มีวันส่งเขาให้พวกคุณเด็ดขาด ถ้าอยากได้มากนักก็ข้ามผมไปให้ได้ก่อนแล้วกัน” เอกภักดิ์ยันตัวขึ้นแล้วมองตาขวางไปคนที่ลุกตามขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เจ้าเด็กโง่! ส่งองค์ชายมาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน” ผู้ชายร่างสูงใหญ่ตรงเข้ามาหาพลางเอ่ยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ดวงตาสีมรกตที่จ้องมาทำให้เอกภักดิ์เผลอมองเจ้าของดวงตาสีมรกตอีกคู่ เปิดโอกาสให้โดนประชิดได้อย่างง่ายดาย มือใหญ่จับแขนเอกภักดิ์ที่ขัดขืนเอาไว้แน่น
“ท่านพี่หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เพียงสัมผัสบางเบาที่ต้นแขนเท่านั้นมือใหญ่ก็คลายออก
“ปล่อยให้ข้าคุยกับเขาเถอะ” ร่างใหญ่พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะยอมถอยออกมาแต่โดยดี
“เอกภักดิ์ฟังข้า… พวกข้าไม่มีวันคิดร้ายต่อองค์ชายเด็ดขาด เชื่อใจข้าเถอะ ส่งองค์ชายมาให้ข้าดูอาการหน่อยได้หรือไม่”
เอกภักดิ์นิ่งคิดไปชั่วครู่ก็เอื้อมมือออกไปข้างหน้า หญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนยาวกร่อมเท้าเยื้องย่างเข้ามาหาพลางช้อนร่างเล็กๆ นำไปวางลงบนเตียง แล้วเปลี่ยนแปลงขนาดร่างกายให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ปีกเล็กๆ ปรากฏอยู่บริเวณกลางหลัง แสงระเรือล้อมรอบกายเล็กๆ นั้นเอาไว้ เธอนั่งลงด้านข้างแล้วเริ่มจับบริเวณข้อมือของคนที่นอนอยู่
“ภรรยาข้าไม่ทำอะไรองค์ชายหรอก อีกอย่างนางเชี่ยวชาญวิชาการรักษาเป็นอย่างดี…” ร่างใหญ่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเอกภักดิ์จ้องร่างเล็กๆ บนเตียงแทบไม่กระพริบตา
“เจ้าช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังได้หรือไม่” เอกภักดิ์พยักหน้ารับแล้วเริ่มเล่าถึงอาการและเสียงปริศนาที่ได้ยินให้แก่คนร่างใหญ่ฟัง
“ผู้หญิงอย่างนั้นรึ ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นผู้ใด” คนกล่าวมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าขออนุญาตตรวจสอบอาหารของเจ้าเสียหน่อยนะ แต่ข้าอยากจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง อาหารมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำอันตรายอะไรภูตอย่างพวกเราได้หรอกนะ” ผู้ชายคนนั้นกลายร่างเป็นภูตตัวเล็ก หยิบโจ๊กในชามขึ้นมาวางไว้ในฝ่ามือ เทลูกไฟจิ๋วออกมาจากกระบอกไม้ที่มีลวดลายงดงามสลักอยู่โดยรอบ โบกมือไปมาสองสามทีแล้วยกมือขึ้น เกิดสายลมพัดผ่านเพียงบางเบา ทันใดนั้นไฟก็ลุกท่วมทั้งฝ่ามือ แต่คนที่โดยไฟท่วมกลับไม่แสดงถึงท่าทางว่าเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
เพียงชั่วครู่ไฟที่เคยลุกท่วมก็ค่อยๆ มอดจนดับสนิทไปในที่สุด เหลือทิ้งเอาไว้เพียงแค่เศษฝุ่นผงสีเทาบริเวณกลางฝ่ามือเท่านั้น เขาสูดดมกลิ่นแล้วใช้นิ้วแตะเข้าไปในปาก
“ผงวิญญาณภูต…” ภูตตนนั้นพึมพำออกมา แล้วบินตรงไปยังเตียงทันที
“ท่านพี่ดวงจิตขององค์ชายอ่อนแรงยิ่งนัก ราวกับคนที่อยู่ระหว่างการคงอยู่และการดับสิ้น แต่ข้ากลับหาสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้เลย” ภูตอีกตนเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่ต่างจากชายหนุ่มที่ยืนภาวนาให้ร่างที่นอนอยู่ปลอดภัย
“ข้าคิดว่าเป็นเพราะของสิ่งนี้”
“ผงวิญญาณภูต… ใครกันที่กล้าปองร้ายองค์ชายถึงกับใช้ของต่ำช้าเยี่ยงนี้!!” ภูตสาวเบือนหน้าหนีจากมือคู่นั้นแทบจะทันที เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ขณะที่อีกฝ่ายนำผงสีเทาเก็บเข้ากระบอกไม้อีกอันไป
“กลับไปข้าคงต้องเร่งสืบสวนโดยด่วน เจ้าอย่าได้แพร่งพรายความลับนี้ให้รั่วไหลออกไป” ภูตสาวพยักหน้ารับ ภูตหนุ่มจึงเร่งเอ่ยถาม
“แล้วเจ้ามีวิธีช่วยเหลือองค์ชายอย่างไรบ้าง?”
“ถ้าเป็นผงวิญญาณภูตจริงก็ลำบากแล้วท่านพี่ ในตำราที่ข้าเคยร่ำเรียนบอกว่าไม่มียาชนิดใดที่จะสามารถรักษาอาการที่เกิดจากผงวิญญาณภูตได้ ที่ทำได้ก็แค่ประคองและรักษาตามอาการเท่านั้น อย่างที่ท่านพี่เคยเห็นในการสู้รบว่าภูตที่สัมผัสผงวิญญาณภูตเข้าไปในปริมาณมากจะดับสิ้นไปภายในเวลาไม่นาน หรือถ้าปีกสัมผัสกับผงวิญญาณภูตมันก็จะค่อยๆ กลืนกินปีกจนบินไม่ได้อีกในที่สุด”
ผงวิญญาณภูตสร้างขึ้นจากดวงจิตและกระดูกของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ถูกฆ่า หรือทรมานจนตาย จากนั้นนำกระดูกและดวงจิตเหล่านั้นมากังขังเอาไว้ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบได้ เมื่อผงวิญญาณภูตถูกนำมาใช้ ดวงจิตที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาทเหล่านั้นจะเข้าทำลายสิ่งที่มันได้พบเจอเพื่อเป็นการแก้แค้น พวกมันเข้าใจสิ่งที่มันพบคือสิ่งที่ทำร้ายพวกมัน
ผงวิญญาณภูตนั้นไร้สีไร้กลิ่นจึงยากแก่การตรวจสอบ จำเป็นต้องใช้พลังจากพระอัคคีในการเผาผลาญเท่านั้นจึงจะปรากฏรูปลักษณ์ที่แท้จริงให้เห็น ผงวิญญาณภูตจึงเป็นของที่เป็นภัยอย่างมหันต์ และถือเป็นของต้องห้ามในดินแดนภูต
“ผู้ที่รับผงวิญญาณภูตเข้าไปในร่างกาย เริ่มแรกมันจะหลอกล่อดวงจิตเอาไว้ภายในร่างกาย คนที่โดนมักจะมีอาการหลับลึกและเห็นสิ่งชั่วร้ายภายในฝัน แต่กลับไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ด้วยตนเอง และต้องทรมานจากฝันนั้น จากนั้นมันจะกังขังดวงจิตของเจ้าของร่างเอาไว้ภายใน แล้วค่อยๆ กลืนกินดวงจิตนั้น”
“แต่ในความโชคร้ายก็นับว่ายังมีความโชคดีที่องค์ชายโชคดีที่ไม่ได้สัมผัสมันโดยตรง แม้ว่าองค์ชายจะทานมันเข้าไปในร่างกายแต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยนักเมื่อเทียบกับที่ใช้ในช่วงสู้รบกัน นอกจากนี้องค์ชายยังได้รับพลังจากหินมูลนกการเวกทำให้ผงวิญญาณภูตไม่สามารถทำร้ายองค์ชายได้อย่างเต็มที่ แต่การรักษานั้น…”
“ไม่เป็นไรนะ ข้าเชื่อว่าองค์ราชาและองค์รานีจะเข้าใจ เจ้าทำดีที่สุดแล้ว” ภูตหนุ่มเอื้อมมือไปกุมภูตอีกตนเอาไว้
“พวกคุณจะบอกว่าไม่สามารถรักษาวายุภัคได้อย่างนั้นเหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน
“จริงๆ แล้วข้าเคยอ่านเจอในตำราโบราณ มีอยู่วิธีหนึ่งที่จะรักษาอาการนี้ได้ แต่การจะรักษานั้นจำเป็นจะต้องใช้ดวงจิตของคู่ทางจิตวิญญาณของเจ้าของร่าง”
“แต่ว่า…” ภูตหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นมา
“ท่านพี่… ข้าอยากทำให้ดีที่สุด และข้าไม่สามารถตัดสินทางเดินชีวิตของใครได้ ข้าไม่อยากทำผิดซ้ำสอง ครานี้ข้าจะให้เขาเป็นผู้เลือกทางเดินของตนเอง”
“แต่ข้าคิดว่า…”
“ได้โปรดเถิดท่านพี่ ให้ข้าบอกความจริงแก่เขา” ภูตหนุ่มพยักหน้ารับ ภูตสาวบินมาด้านหน้าของชายหนุ่มแล้วเริ่มพูด
“เอกภักดิ์ได้โปรดฟังข้า ทุกสิ่งที่ข้าจะพูดนับตั้งแต่วินาทีนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความสัตย์จริง และทางเลือกนั้นเจ้าจำเป็นจะต้องเลือกด้วยตัวของเจ้าเอง”
“ข้ามีนามว่า วสุนธรา ส่วนท่านผู้นี้เป็นจอมทัพแห่งโลกภูตรานามว่า ปราณันต์ เมื่อนานมาแล้วพวกข้าทั้งคู่ได้ผ่านการอภิเษกและบุตรของพวกข้าก็ได้ถือกำเนิดขึ้น บุตรแห่งข้ามีนามว่า เอกภักดิ์ ที่แปลว่า ซื่อตรง” เอกภักดิ์พยักหน้ารับ และคิดว่าชื่อของตัวเองช่างโหลยิ่งนัก แม้กระทั่งในโลกภูตเองก็ยังมีคนที่ชื่อเหมือนกันกับเขาอยู่อีก
“เอกภักดิ์เจ้าเป็นบุตรของเรา” เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ปราณันต์จึงเอ่ยสำทับขึ้น
“ผมว่าพวกคุณคงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ แต่ผมเป็นมนุษย์ไม่ใช่ภูต” เอกภักดิ์เบิกตากว้างมองภูตสองตนอย่างไม่เชื่อถือเท่าไหร่นัก สมมติว่าวันนึงมีคนมาบอกว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นเอเลี่ยนเขาก็คงไม่เชื่อเหมือนกันนั่นแหละ และยิ่งไปกว่านั้นถ้าดูจากหน้าตาแล้วภูตทั้งสองน่าจะมีอายุห่างจากเขาไม่กี่ปีเท่านั้น
“ข้าหาได้เข้าใจผิดไม่ เมื่อสักครู่ที่ข้าสัมผัสเจ้า ข้าก็สัมผัสได้ถึงดวงจิตแห่งภูตที่อยู่ภายในตัวเจ้า ถึงแม้มันจะเบาบางมากก็ตาม” ภูตสาวนามวสุนธราเอ่ย
“ผมเป็นภูตงั้นเหรอ? แต่ทำไมผมถึงไม่มีปีกอย่างพวกคุณล่ะครับ หูก็ไม่แหลมด้วย” ปราณันต์ไม่ตอบคำถาม แต่กลับให้ทางเลือกกับเจ้าตัวแทน
“เรื่องมันยาวนัก ข้าสัญญาว่าจะเล่าให้เจ้าฟังในภายหลัง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือการรักษาองค์ชาย แต่พวกข้าไม่บังคับเจ้าหรอกนะ เพราะเจ้าถือว่าเป็นคนของโลกมนุษย์”
“สมมตินะครับว่าผมเป็นภูต เป็นเอ่อ…ลูกพวกคุณจริงๆ แต่พวกคุณรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นคู่ทางจิตวิญญาณของวายุภัค”
“คู่ทางจิตวิญญาณมักจะมีจิตที่สื่อถึงกัน เมื่อพบกันครั้งแรกจะมีเส้นใยแห่งจิตวิญญาณแสดงออกมาให้เห็น และพวกข้าเป็นผู้ที่ประจักษ์แก่สายตาของตนเอง ถ้าเจ้ายังไม่เชื่ออีกข้าจะแสดงให้เจ้าดู”
วสุนธรา และปราณันต์ยืนอยู่ด้านข้างของวายุภัคแล้วเริ่มเอ่ยวาจา
“ในนามแห่งข้าผู้ผูกดวงจิตเป็นหนึ่งเดียว ขอเส้นใยแห่งจิตวิญญาณจงปรากฏแก่ผู้ที่เป็นคู่ทางจิตวิญญาณของกันและกัน” สิ้นคำลำแสงสีแดงเส้นเล็กๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือด้านซ้ายของร่างที่นอนอยู่จนไปบรรจบกับฝ่ามือด้านซ้ายของเอกภักดิ์ที่ยืนนิ่งอยู่ แต่เส้นนั้นกลับดูบางเบา และซีดจาง
เอกภักดิ์ได้แต่ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นานนักเส้นสีแดงนั้นก็จางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ บางทีสิ่งนี้อาจจะพออธิบายได้ว่าทำไมเมื่อครั้งที่วายุภัคใช้มนต์กำบังแล้วเขาถึงยังเห็นเจ้าตัวอยู่ ทั้งๆ ที่คนอื่นรอบกายเขามองไม่เห็น
“สิ่งที่เจ้าเห็น แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังมีดวงจิตแห่งภูตหลงเหลืออยู่ในภายใน แต่ถึงกระนั้น การรักษาที่ข้าว่า ข้าเองก็ยังไม่เคยลองรักษาหรือว่าเห็นการรักษานั้นด้วยตาของตนเอง ดังนั้นข้าไม่สามารถยืนยันได้ว่าการรักษานั้นจะสำเร็จหรือไม่” วสุนธราเอ่ยขึ้น
“บุตรแห่งข้า พวกข้าได้ให้ทางเลือกแก่เจ้าแล้ว ขอเจ้าจงเป็นผู้ตัดสินทางเดินด้วยตัวของเจ้าเองเถิด” ปราณันต์เอ่ยสำทับแล้วยืนนิ่งรอการตัดสินใจจากคนตรงหน้า
ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด มีเพียงความสงัดเท่านั้นที่กำจายอยู่ทั่วทุกอณูของห้อง
บนโต๊ะทำงานมีเพียงซองจดหมายสีขาววางสงบนิ่งอยู่ ด้านบนของมันถูกหินสีดำขลับที่มีรูขนาดใหญ่ตรงกลางวางทับเอาไว้…
ตัวละครใหม่งอกมาแล้ว 2 และจะตามมาอีกเพียบค่ะ เฮือก
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 8
อะจะ.......... พี่เอกเป็นลูกภูติ.............................
คนที่ทำคือเจ้าของเสียงปริศนาตอนที่แล้วสินะ T[]T
วาาาาาาา หายเร็วๆ นะ ฮือออออออออ
คนที่ทำคือเจ้าของเสียงปริศนาตอนที่แล้วสินะ T[]T
วาาาาาาา หายเร็วๆ นะ ฮือออออออออ
น้ำไหล- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 172
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 8
พี่เอกมีเชื้อสายภูติเบาๆ ปริศนาเริ่มมา ????
มอคราม- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 141
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 8
อ่า ปมเยอะขึ้นแทนที่จะคลายรึเปล่านะ
เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
จะรอติดตามตอนต่อไปนะ
เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
จะรอติดตามตอนต่อไปนะ
memoapp- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 46
Join date : 04/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 8
สรุปพี่เอกก็เป็นภูติงั้นความรักครั้งนี้ก็ไม่น่าเศร้าแล้วสิ
ว่าแต่ขอให้น้องวาหายเร็วๆนะ
ว่าแต่ขอให้น้องวาหายเร็วๆนะ
13cotton13- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 129
Join date : 03/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 8
เพราะอย่างนี้พี่เอกถึงกลัวความสูง&ฝันร้ายบ่อยๆหรือเปล่าน้า~
น้องวาสู้ๆ T^T
น้องวาสู้ๆ T^T
Sier- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 107
Join date : 11/04/2014
Similar topics
» Fairy Tell - บทที่ 11
» Fairy Tell - บทที่ 1
» Fairy Tell - บทที่ 12
» Fairy Tell - บทที่ 13
» Fairy Tell - บทที่ 2
» Fairy Tell - บทที่ 1
» Fairy Tell - บทที่ 12
» Fairy Tell - บทที่ 13
» Fairy Tell - บทที่ 2
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|