ค้นหา
Latest topics
» Who’s the KING? } 16 [END]by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:30 pm
» Who’s The KING? } 15 - Special part form Pramuk.
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:25 pm
» Who’s the KING? } 15
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:23 pm
» Who’s the KING? } 14
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:09 pm
» Who’s the KING? } 13
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:01 pm
» Who’s the KING? } 12
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:50 pm
» Who’s the KING? } 11
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:40 pm
» Who’s the KING? } 10
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 5:59 pm
» Who’s the KING? } 9
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:39 pm
» Who’s the KING? } 8
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:31 pm
» Who’s the KING? } 7
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:19 pm
» Who’s the KING? } 6
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 1:49 pm
» Who’s the KING? } 5
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:57 am
» Who’s the KING? } 4
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #2 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:26 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #1
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:13 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /14 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:03 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /13
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:54 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /12
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /11
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:33 am
Fairy Tell - บทที่ 5
+2
น้ำไหล
เลื่อมประภัสสร
6 posters
หน้า 1 จาก 1
Fairy Tell - บทที่ 5
บทที่ 5
ชายหนุ่มผูกเนคไทลวกๆ พลางเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กที่ยืนเหม่อมองอยู่ริมหน้าต่าง ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านเข้ามาราวกับจะปลุกสิ่งของต่างๆ ให้มีชีวิตขึ้นมา ผ้าม่านพลิ้วไหวหยอกล้อกับสายลม รอยยิ้มบางๆ จึงถูกจุดขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ นั่น
“ทำอะไรอยู่ครับวา” คนที่กำลังจะเอื้อมมือไปจับขนนกอยู่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วหมุนตัวกลับมาหา
“วากำลังคิดว่าจะทำอีกหลายๆ อัน พี่เอกจะได้ฝันดีตลอดไปไง” ตาข่ายดักฝันที่เจ้าตัวทำแขวนอยู่เหนือหน้าต่าง แทนที่จะเป็นหัวเตียง เพียงเพราะเหตุผลว่าจะได้กันฝันร้ายได้จากทุกทิศทาง แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่านั้นคือมันสวยดี
เศษกิ่งไม้ถูกนำมาขดแล้วมัดจนเป็นวงกลม ตรงกลางมีเถาวัลย์เส้นเล็กๆ ถักทอเป็นลวดลายอ่อนช้อยงดงาม แต่ขณะเดียวกันก็ดูเรียบหรูในตัวของมันเอง แสดงให้เห็นถึงความประณีตในตัวของคนทำ ด้านล่างมีลูกปัด คริสตัล และหินสีขนาดต่างๆ ถูกร้อยพันเอาไว้ในเถาวัลย์แต่ละเส้น ปิดท้ายด้วยขนนกหลากสีสันที่คนทำลงมือย้อมด้วยตนเอง
สาเหตุที่ทำตาข่ายดักฝันขึ้นมาจริงๆ แล้วอาจจะต้องบอกว่าเป็นเพราะวายุภัคมากกว่าตัวของเขาเอง ถึงแม้เขาจะชอบฝันร้ายในเรื่องเดิมๆ จนต้องตื่นขึ้นมากลางดึกในบางคืน แต่ก็ไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันของเขาเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะว่าเขาชินชาเสียแล้ว โดยเฉพาะในช่วงหลังนี้ที่มีวายุภัคมาอยู่ด้วย บางคืนถ้าเขาตื่นขึ้นมาคนที่นอนอยู่ข้างกายก็จะตื่นขึ้นมาด้วย วายุภัคมักจะใช้มือทั้งคู่โอบกอดเขาเอาไว้จนแน่นแล้วร้องเพลงที่เจ้าตัวจำมาจากทีวีให้เขาฟัง แค่นี้เขาก็สามารถกลับไปนอนหลับฝันดีได้อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น โดยไม่ต้องพึ่งตาข่ายติงต๊องนี่ด้วยซ้ำไป
แต่เขากลับสังเกตเห็นเมื่อไม่นานมานี้ว่าวายุภัคเองก็มีอาการฝันร้ายเหมือนกับมนุษย์ด้วยเช่นกัน และดูจะมีอาการหนักกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าภูตทุกตนเป็นแบบนี้หรือไม่ แต่วายุภัคไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากฝันนั้นได้ด้วยตนเองถ้าเขาไม่ปลุกขึ้นมา ยิ่งพักหลังๆ มานี่การปลุกคนข้างกายกลับดูเหมือนจะยากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาที่ไม่ใช่คนตื่นง่ายสักเท่าไหร่นักกลายเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาได้เพียงแค่คนในอ้อมกอดขยับตัว หรือเริ่มหายใจรัวเร็ว
เขาค้นหาวิธีที่ช่วยผ่อนคลายในการนอนทั้งใช้กลิ่นที่ช่วยผ่อนคลาย ให้วายุภัคอาบน้ำอุ่นๆ ก่อนนอน หรือเอานมอุ่นๆ ให้ดื่ม จนกระทั่งเจอเข้ากับตาข่ายดักฝันในอินเทอร์เน็ต เขาจึงลองชวนวายุภัคมาทำดู ถึงแม้จะได้ดูรูปเพียงแค่รอบเดียว แต่เจ้าตัวก็สามารถจดจำรายละเอียดได้หมด แถมทำออกมาได้สวยกว่าที่เห็นในภาพเสียอีก ที่สำคัญเจ้าตัวยังเลือกใช้วัสดุที่ได้จากธรรมชาติแทนที่จะไปซื้อของแพงๆ เพราะเจ้าตัวบอกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติมากกว่า และจิตวิญญาณเหล่านี้แหละที่จะคอยปกปักรักษา
ดังนั้น เมื่อคนที่อยากทำเอ่ยแล้วเขาเองก็ไม่ขัดข้อง แต่ตอบรับกลับไปอย่างง่ายดาย พลางเอ่ยชักชวนไปช่วยหาวัสดุที่สวนสาธารณะด้วยกันในช่วงเย็น แค่เท่านั้นคนฟังฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้าเล็กๆ และเมื่อวายุภัคเอื้อมมือไปจับปลายเนคไทเอาไว้หลวมๆ คนที่อยู่ด้านบนก็โน้มคอลงมาราวกับรู้หน้าที่
“ขอบคุณนะครับ” เอกภักดิ์เอ่ยขึ้นหลังเนคไทถูกจัดให้เข้าที่เข้าทางโดยไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเดินเช็คความเรียบร้อยของห้องอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็หยิบกระเป๋าสีดำประจำตัวขึ้นมา ก้าวเท้าออกจากห้องด้วยรองเท้าขัดมันจนขึ้นเงากว่าที่เคย
เอกภักดิ์สั่งเลขาคนสวยหน้าห้องให้นำงานทั้งหมดที่ต้องทำของอาทิตย์นี้และอาทิตย์หน้า พร้อมนัดหมายการประชุมเข้ามาให้ในห้อง และไม่ลืมหันไปกำชับเรื่องเครื่องดื่มของตัวเอง
ผ่านไปเพียงไม่นานห้องทำงานก็เต็มไปด้วยแฟ้มมากมายที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะและล้นลงมาจนถึงพื้น เครื่องดื่มสามถ้วยวางอยู่บนโต๊ะอย่างแออัด เพราะต้องแย่งชิงพื้นที่กับบรรดาแฟ้มสีทะมึนที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่พวกมันอยู่
“พี่เอก วาขอชิมนะ” ทันทีที่เอกภักดิ์พยักหน้าภูตน้อยก็บินลงมาเกาะหลอดเล็กๆ ที่เพิ่งถูกเสียบลงไปในถ้วยเมื่อสักครู่ ออกแรงดูดเล็กน้อย แล้วก็ทำหน้าเบ้ออกมา กระพือปีกเล็กๆ หนีจากถ้วยเครื่องดื่มที่ตนเองจดๆ จ้องๆ มาเสียหลายวันอย่างไม่ใยดี
เอกภักดิ์เผลอปล่อยเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา แล้วกวักมือเรียกคนที่บินหนีไปเมื่อครู่
“ไม่เอาแล้วพี่เอก ไม่เห็นอร่อยเลย พี่เอกดื่มเข้าไปได้ยังไง” ภูตน้อยบินเข้ามาใกล้พลางแลบลิ้นใส่ เอกภักดิ์เลื่อนถ้วยสีขาวที่มีหลอดเล็กๆ เสียบอยู่อีกใบเข้าไปใกล้ๆ แทน
“ลองชิมถ้วยนี้ดูสิ พี่ไม่หลอกวาหรอกครับ ชิมดูก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยสำทับเมื่อเห็นคนฟังทำท่าไม่เชื่อ ริมฝีปากบางจรดลงที่หลอดอีกครั้งแล้วออกแรงดูด น้ำสีน้ำตาลอ่อนรสชาติหวานก็ทำให้เจ้าตัวยิ้มกว้างออกมา พร้อมเอ่ยปากชมว่าอร่อยเสียหลายครั้ง ปล่อยให้น้ำผลไม้ที่เจ้าตัวชื่นชอบนักหนาได้แต่มองด้วยความน้อยใจ
ภูตน้อยทรุดตัวนั่งลงบนกองแฟ้มที่เอกภักดิ์จัดเอาไว้ให้ข้างถ้วยทำให้การดื่มเครื่องดื่มในถ้วยเป็นไปอย่างง่ายดายมากขึ้น ไม่นานท้องเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยน้ำ และก็หนีไม่พ้นเจ้าของห้องที่ต้องพาภูตน้อยไปปลดปล่อยของเสียออกจากร่างกายโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะเห็นเจ้าตัวเข้าเพราะอีกฝ่ายใช้มนต์กำบังเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าจะถามว่าทำไมเขายังมองเห็นวายุภัคอยู่อีกเขาก็ตอบไม่ได้ เพราะแม้แต่คนร่ายมนต์เองก็ยังไม่รู้เช่นกัน
วันนั้นทั้งวันเลขาสาวได้แต่ลอบมองผู้เป็นนายของตัวเองเดินเข้าเดินออกระหว่างห้องทำงานกับห้องน้ำเป็นว่าเล่น ในมือถือปึกข้อมูลเกี่ยวกับ Overactive Bladder หรือ ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติเอาไว้ในมือแต่กลับไม่กล้ายื่นให้เสียที พลางนึกสงสารผู้เป็นนายที่เป็นโรคของผู้สูงวัยตั้งแต่ยังหนุ่ม
ชายหนุ่มผูกเนคไทลวกๆ พลางเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กที่ยืนเหม่อมองอยู่ริมหน้าต่าง ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านเข้ามาราวกับจะปลุกสิ่งของต่างๆ ให้มีชีวิตขึ้นมา ผ้าม่านพลิ้วไหวหยอกล้อกับสายลม รอยยิ้มบางๆ จึงถูกจุดขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ นั่น
“ทำอะไรอยู่ครับวา” คนที่กำลังจะเอื้อมมือไปจับขนนกอยู่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วหมุนตัวกลับมาหา
“วากำลังคิดว่าจะทำอีกหลายๆ อัน พี่เอกจะได้ฝันดีตลอดไปไง” ตาข่ายดักฝันที่เจ้าตัวทำแขวนอยู่เหนือหน้าต่าง แทนที่จะเป็นหัวเตียง เพียงเพราะเหตุผลว่าจะได้กันฝันร้ายได้จากทุกทิศทาง แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่านั้นคือมันสวยดี
เศษกิ่งไม้ถูกนำมาขดแล้วมัดจนเป็นวงกลม ตรงกลางมีเถาวัลย์เส้นเล็กๆ ถักทอเป็นลวดลายอ่อนช้อยงดงาม แต่ขณะเดียวกันก็ดูเรียบหรูในตัวของมันเอง แสดงให้เห็นถึงความประณีตในตัวของคนทำ ด้านล่างมีลูกปัด คริสตัล และหินสีขนาดต่างๆ ถูกร้อยพันเอาไว้ในเถาวัลย์แต่ละเส้น ปิดท้ายด้วยขนนกหลากสีสันที่คนทำลงมือย้อมด้วยตนเอง
สาเหตุที่ทำตาข่ายดักฝันขึ้นมาจริงๆ แล้วอาจจะต้องบอกว่าเป็นเพราะวายุภัคมากกว่าตัวของเขาเอง ถึงแม้เขาจะชอบฝันร้ายในเรื่องเดิมๆ จนต้องตื่นขึ้นมากลางดึกในบางคืน แต่ก็ไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันของเขาเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะว่าเขาชินชาเสียแล้ว โดยเฉพาะในช่วงหลังนี้ที่มีวายุภัคมาอยู่ด้วย บางคืนถ้าเขาตื่นขึ้นมาคนที่นอนอยู่ข้างกายก็จะตื่นขึ้นมาด้วย วายุภัคมักจะใช้มือทั้งคู่โอบกอดเขาเอาไว้จนแน่นแล้วร้องเพลงที่เจ้าตัวจำมาจากทีวีให้เขาฟัง แค่นี้เขาก็สามารถกลับไปนอนหลับฝันดีได้อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น โดยไม่ต้องพึ่งตาข่ายติงต๊องนี่ด้วยซ้ำไป
แต่เขากลับสังเกตเห็นเมื่อไม่นานมานี้ว่าวายุภัคเองก็มีอาการฝันร้ายเหมือนกับมนุษย์ด้วยเช่นกัน และดูจะมีอาการหนักกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าภูตทุกตนเป็นแบบนี้หรือไม่ แต่วายุภัคไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากฝันนั้นได้ด้วยตนเองถ้าเขาไม่ปลุกขึ้นมา ยิ่งพักหลังๆ มานี่การปลุกคนข้างกายกลับดูเหมือนจะยากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาที่ไม่ใช่คนตื่นง่ายสักเท่าไหร่นักกลายเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาได้เพียงแค่คนในอ้อมกอดขยับตัว หรือเริ่มหายใจรัวเร็ว
เขาค้นหาวิธีที่ช่วยผ่อนคลายในการนอนทั้งใช้กลิ่นที่ช่วยผ่อนคลาย ให้วายุภัคอาบน้ำอุ่นๆ ก่อนนอน หรือเอานมอุ่นๆ ให้ดื่ม จนกระทั่งเจอเข้ากับตาข่ายดักฝันในอินเทอร์เน็ต เขาจึงลองชวนวายุภัคมาทำดู ถึงแม้จะได้ดูรูปเพียงแค่รอบเดียว แต่เจ้าตัวก็สามารถจดจำรายละเอียดได้หมด แถมทำออกมาได้สวยกว่าที่เห็นในภาพเสียอีก ที่สำคัญเจ้าตัวยังเลือกใช้วัสดุที่ได้จากธรรมชาติแทนที่จะไปซื้อของแพงๆ เพราะเจ้าตัวบอกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติมากกว่า และจิตวิญญาณเหล่านี้แหละที่จะคอยปกปักรักษา
ดังนั้น เมื่อคนที่อยากทำเอ่ยแล้วเขาเองก็ไม่ขัดข้อง แต่ตอบรับกลับไปอย่างง่ายดาย พลางเอ่ยชักชวนไปช่วยหาวัสดุที่สวนสาธารณะด้วยกันในช่วงเย็น แค่เท่านั้นคนฟังฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้าเล็กๆ และเมื่อวายุภัคเอื้อมมือไปจับปลายเนคไทเอาไว้หลวมๆ คนที่อยู่ด้านบนก็โน้มคอลงมาราวกับรู้หน้าที่
“ขอบคุณนะครับ” เอกภักดิ์เอ่ยขึ้นหลังเนคไทถูกจัดให้เข้าที่เข้าทางโดยไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเดินเช็คความเรียบร้อยของห้องอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็หยิบกระเป๋าสีดำประจำตัวขึ้นมา ก้าวเท้าออกจากห้องด้วยรองเท้าขัดมันจนขึ้นเงากว่าที่เคย
เอกภักดิ์สั่งเลขาคนสวยหน้าห้องให้นำงานทั้งหมดที่ต้องทำของอาทิตย์นี้และอาทิตย์หน้า พร้อมนัดหมายการประชุมเข้ามาให้ในห้อง และไม่ลืมหันไปกำชับเรื่องเครื่องดื่มของตัวเอง
ผ่านไปเพียงไม่นานห้องทำงานก็เต็มไปด้วยแฟ้มมากมายที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะและล้นลงมาจนถึงพื้น เครื่องดื่มสามถ้วยวางอยู่บนโต๊ะอย่างแออัด เพราะต้องแย่งชิงพื้นที่กับบรรดาแฟ้มสีทะมึนที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่พวกมันอยู่
“พี่เอก วาขอชิมนะ” ทันทีที่เอกภักดิ์พยักหน้าภูตน้อยก็บินลงมาเกาะหลอดเล็กๆ ที่เพิ่งถูกเสียบลงไปในถ้วยเมื่อสักครู่ ออกแรงดูดเล็กน้อย แล้วก็ทำหน้าเบ้ออกมา กระพือปีกเล็กๆ หนีจากถ้วยเครื่องดื่มที่ตนเองจดๆ จ้องๆ มาเสียหลายวันอย่างไม่ใยดี
เอกภักดิ์เผลอปล่อยเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา แล้วกวักมือเรียกคนที่บินหนีไปเมื่อครู่
“ไม่เอาแล้วพี่เอก ไม่เห็นอร่อยเลย พี่เอกดื่มเข้าไปได้ยังไง” ภูตน้อยบินเข้ามาใกล้พลางแลบลิ้นใส่ เอกภักดิ์เลื่อนถ้วยสีขาวที่มีหลอดเล็กๆ เสียบอยู่อีกใบเข้าไปใกล้ๆ แทน
“ลองชิมถ้วยนี้ดูสิ พี่ไม่หลอกวาหรอกครับ ชิมดูก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยสำทับเมื่อเห็นคนฟังทำท่าไม่เชื่อ ริมฝีปากบางจรดลงที่หลอดอีกครั้งแล้วออกแรงดูด น้ำสีน้ำตาลอ่อนรสชาติหวานก็ทำให้เจ้าตัวยิ้มกว้างออกมา พร้อมเอ่ยปากชมว่าอร่อยเสียหลายครั้ง ปล่อยให้น้ำผลไม้ที่เจ้าตัวชื่นชอบนักหนาได้แต่มองด้วยความน้อยใจ
ภูตน้อยทรุดตัวนั่งลงบนกองแฟ้มที่เอกภักดิ์จัดเอาไว้ให้ข้างถ้วยทำให้การดื่มเครื่องดื่มในถ้วยเป็นไปอย่างง่ายดายมากขึ้น ไม่นานท้องเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยน้ำ และก็หนีไม่พ้นเจ้าของห้องที่ต้องพาภูตน้อยไปปลดปล่อยของเสียออกจากร่างกายโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะเห็นเจ้าตัวเข้าเพราะอีกฝ่ายใช้มนต์กำบังเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าจะถามว่าทำไมเขายังมองเห็นวายุภัคอยู่อีกเขาก็ตอบไม่ได้ เพราะแม้แต่คนร่ายมนต์เองก็ยังไม่รู้เช่นกัน
วันนั้นทั้งวันเลขาสาวได้แต่ลอบมองผู้เป็นนายของตัวเองเดินเข้าเดินออกระหว่างห้องทำงานกับห้องน้ำเป็นว่าเล่น ในมือถือปึกข้อมูลเกี่ยวกับ Overactive Bladder หรือ ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติเอาไว้ในมือแต่กลับไม่กล้ายื่นให้เสียที พลางนึกสงสารผู้เป็นนายที่เป็นโรคของผู้สูงวัยตั้งแต่ยังหนุ่ม
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 5
หลังจากได้รับสายจากเพื่อนรักที่ดูจะเข้าอกเข้าใจเขาเป็นอย่างดี แม้ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร อชรายุเดินยิ้มร่าลงมาจากห้อง เอ่ยสวัสดีบุพการีทั้งคู่ แล้วกระโดดขึ้นรถแลนด์โรเวอร์สีฟ้าขับออกจากบ้านไป
“พ่อสวัสดีครับ” อชรายุเอ่ยทักเจ้าของบ้านที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ตัวเก่ง
คุณากรส่งเสียงตอบรับพลางเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ แต่เมื่อเห็นชุดผู้ชายลายดอกก็ชะงักไปเล็กน้อย
“จะไปทะเลกันใช่ไหม เจ้ากันต์บ่นว่าไม่อยากไปอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่พ่อเห็นเตรียมตัวเสร็จตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เออ ยุลองขึ้นไปตามสิแต่ระวังโดนลูกหลงนะ เห็นเมื่อกี้ตะโกนเรียกชื่อเจ้าเอกเสียเสียงดัง หูพ่อเกือบหนวกแหนะ” อชรายุพยักหน้ารับ สาวเท้าเดินขึ้นไปด้านบน มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจที่ห้อยรูปหัวใจขึ้นมาไขอย่างชำนาญ
ทันทีที่ประตูเปิดออกหมอนใบโตก็ลอยเข้ามาปะทะจนศีรษะเอนไปด้านหลัง
“กันต์ไม่ไปทะเลแล้ว ออกไปเลยนะ!!” อติกันต์นั่งทำหน้าบูดบึ้งอยู่บนเตียงในมือยังมีหมอนใบโตอยู่อีกใบ
“เฮ้ยพี่สาบานว่ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ไอ้เอกมันบอกว่ารถมันของเต็มแล้ว แล้วโทรบอกให้พี่มารับยุเมื้อกี้เอง”
“งั้นกันต์จะขับรถไปเอง” เจ้าของห้องลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินทางเอาไว้ในมือ แต่ก็ยังช้ากว่าอชรายุอยู่ดี
“ไอ้พี่ยุเอากระเป๋ากันต์มานะ” คนตัวโตกว่าเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ ยัดกระเป๋าลายจุดใบโตไว้บนรถได้ก็หันกลับมาหาคนที่ยืนโวยวายอยู่หน้าประตูบ้าน ย่างเท้าเข้าไปหาช้าๆ จนอติกันต์เผลอเดินถอยหลังไปหลายก้าว
“พ่อครับ ผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ” พูดจบอชรายุก็ยกอติกันต์ขึ้นพาดบ่า จนคนที่อยู่บนบ่าถึงกับร้องเสียงหลง พลางเอ่ยขอความช่วยเหลือ
“พ่อ!! ช่วยกันต์ด้วย ไอ้พี่ยุปล่อยกันต์นะ ปล่อย!!! พ่อ!”
“อืมๆ เที่ยวให้สนุกนะยุ เดินทางปลอดภัยล่ะ” คุณากรเดินออกมานอกตัวบ้าน แล้วชะโงกหน้ามาหาอติกันต์ที่ถูกยัดขึ้นไปบนรถแล้ว มือเรียวพยายามแกะสายรัดเข็มขัดนิภัยออก แต่ก็โดนขัดขวางเอาไว้ได้ทุกครั้ง
“เออเกือบลืมแหนะ กันต์อย่าลืมของฝากพ่อนะลูก รู้ใช่ไหมว่าพ่อชอบอะไร… ขับรถดีๆ นะยุ” คุณากรยืนโบกมือให้ก่อนที่รถแลนด์โรเวอร์สีฟ้าจะเคลื่อนตัวออกจากบ้านไปพร้อมเสียงโหยหวนสุดท้ายที่แว่วออกมาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่
“พ่อ!!!!!”
ท้องทะเลสีคราม ตัดกับผืนทรายสีขาวเนียนละเอียด ลมเบาๆ ที่พัดโชยอยู่ตลอดเวลาทำให้เมฆก้อนเล็กก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่เคลื่อนตัวผ่านไปอย่างช้าๆ และบางก้อนก็เปลี่ยนรูปร่างของตัวเองไปเรื่อยๆ เป็นบรรยากาศที่ทำให้หลายๆ คนรู้สึกผ่อนคลาย และสร้างรอยยิ้มให้คนที่เดินอยู่ริมชายหาดได้มากมาย แต่คงไม่ใช่กับคนที่นั่งหน้าบึ้ง คิ้วผูกเป็นโบว์ย่นๆ อยู่ตรงนี้แน่ๆ
ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นจ้องมองคนที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่พอใจ ฟันซี่เล็กๆ กำลังเคี้ยวหลอดที่ถูกเสียบอยู่ในแก้วน้ำแตงโมปั่นสีแดงอ่อนอย่างเมามัน ถ้าเลือกได้เจ้าตัวคงอยากขย้ำคอคนบางคนเสียมากกว่า เมื่อคนที่ถูกจ้องมองรู้สึกตัวก็หันมายิ้มให้อย่างอารมณ์ดีแทน แล้วเปลี่ยนเป็นส่งเสียงดุเมื่อคนที่เคี้ยวหลอดอยู่เมื่อครู่ทำท่าจะถอดเสื้อฮูดแขนกุดที่เขาซื้อมาออก
“ถ้าวาคิดจะใช้ร่างภูตออกไปเล่นน้ำทะเลก็เอาเลย พี่ไม่ห้ามหรอกครับ… แต่ถ้าวาทำเมื่อไหร่… พี่จะเอาสวิงนี่จับวา แล้วเราจะกลับกรุงเทพกันทันที” คนพูดชูสวิงสีขาวในมือให้ดูว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่การขู่แน่
คนฟังปล่อยมือออกจากเสื้อ ทิ้งตัวลงพิงเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด มือเล็กๆ จัดฮูดบนศีรษะให้เข้าที่แล้วผูกเชือกเสียแน่นจนเหลือเพียงแค่จมูกและปากเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา
“รออีกแป็บเดียวนะคนดี หันมานี่สิครับ” เอกภักดิ์ใช้มือประกบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างก่อนจะสอดมือเข้าไปในฮูดเพื่อทำให้หลวมมากขึ้น แอบสัมผัสใบหูแหลมเรียวจนคนที่โดนสัมผัสต้องย่นคอหนี ปิดท้ายด้วยการใช้นิ้วบีบจมูกเล็กๆ อีกสักที วายุภัคยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเองดังมาแต่ไกล
“น้องวา!! วาจ๋าวา!!” วายุภัคกระเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติ สาวเท้าวิ่งไปยังแหล่งกำเนิดเสียงทันที
“วาน้อยของพี่กันต์” ทั้งคู่โผเข้ากอดกันราวกับคู่รักที่พลัดพรากกันมานาน
“วันนี้วาแต่งตัวน่ารักจังเลย พี่เอกซื้อให้เหรอเนี่ย มีรสนิยมอยู่เหมือนกันนะ” ไม่พูดเปล่ามือทั้งคู่จับหูแมวสีดำที่อยู่ด้านบนฮูดเล่น แล้วบอกให้คนที่สวมฮูดส่งเสียงแมวให้ฟัง เมื่อได้ยินเสียงเมี๊ยวม๊าวก็เอ่ยชมว่าเก่งไม่ขาดปาก
“พี่กันต์ วาอยากเล่นน้ำทะเล” อติกันต์เบิกตากว้างราวกับเห็นสิ่งมีชีวิตนอกโลก เมื่อได้ยินความปรารถนาของคนตรงหน้า
“ไม่ได้นะ พี่จะไม่ยอมให้วาเล่นน้ำทะเลตอนนี้เด็ดขาด!” อชรายุเบ้ปากออกหมายจะร้องท้วง
“แดดร้อนขนาดนี้จะเล่นได้ยังไงกัน เดี๋ยวเป็นไข้ขึ้นมาจะทำไงเล่า” เอกภักดิ์ยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพออกพอใจ พลางพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ไม่ต้องห่วงนะวา พี่กันต์คนนี้จัดตารางทัวร์มาแล้ว รับรองมันแน่นอนพะยะค่ะ” คนพูดโบกกระดาษแผ่นโตในมือไปมาอย่างร่าเริง เอื้อมมือมาจับแขนวายุภัค แล้วดึงให้เดินไปด้วยกัน
“พี่ยุขับนะ” อชรายุกับเอกภักดิ์หันมามองหน้า ยักไหล่ให้กัน แล้วเดินตามหัวหน้าทัวร์ไป
อติกันต์ลากคณะทัวร์ลูกเป็ดที่เหลือตระเวนทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย เริ่มจากเปิดทัวร์ด้วยกิจกรรมเพ้นท์บอล ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ทีม ได้แก่ ทีมอติกันต์และวายุภัค และทีมเอกภักดิ์กับอชรายุ ถึงแม้ว่าคนในทีมหลังไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยกันสักเท่าไหร่ก็ตาม
หลังจากเริ่มการแข่งขันไม่ถึง 3 นาทีวายุภัคก็เก็บเรียบ เรียบในที่นี้คือเรียบจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่อติกันต์ จนเจ้าตัวต้องรีบอธิบายกติกาใหม่อีกรอบเป็นการด่วน ผลของการแข่งหลังจากนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เอกภักดิ์กับอชรายุแทบจะกลายเป็นเป้านิ่งสำหรับวายุภัค ส่วนอติกันต์ก็ได้แต่ยืนเชียร์วายุภัคอยู่หลังที่กำบัง ไม่ก็พยายามยิงกราดใส่อชรายุ หรือถ้าเบื่อมากๆ ก็วิ่งมาเป็นเป้าให้สองหนุ่มยิงเล่นเสียอย่างนั้น
จบจากเพ้นท์บอล คณะทัวร์ก็ตรงไปที่ ATV แทบจะทันที ถึงแม้ว่าวายุภัคจะขับรั้งท้ายในตอนแรกๆ เนื่องจากยังไม่ชำนาญ แต่ผ่านไปชั่วครู่ก็ขึ้นนำได้อย่างไม่ยากเย็น เจ้าตัวกระโดดดีใจจนตัวลอยเมื่อถึงเป็นคนแรก
เคเบิลสกีที่เป็นเป้าหมายต่อไปกลับต้องถูกพับเก็บลงชั่วคราวเมื่อวายุภัคเหลือบไปเห็นบันจี้จัมพ์ กีฬาท้าความสูงขึ้นมา แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อติกันต์ไม่เคยคิดจะเอาเข้ามาใส่ในแผนของเขา ไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวความสูง แต่คนที่กลัวคือพี่ชายของเขาต่างหาก และไม่ได้กลัวในระดับธรรมดา แต่เคยถึงขั้นหน้ามืดมาแล้ว
วายุภัคกระโดดลงจากรถด้วยความตื่นเต้นหลังจากรถจอดสนิท เงยหน้ามองคนที่กระโดดลงมาจากที่สูงด้วยความตื่นตาตื่นใจ ต่างจากคนข้างกายที่ยืนหน้าไร้สีอยู่เงียบ
“พี่เอกไม่ต้องเล่นหรอก เดี๋ยวให้พี่ยุอยู่เป็นเพื่อนนะ” วายุภัคหันกลับมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้งเมื่อมีคนกระโดดลงมาเป็นคู่
“พี่เอกเล่นกับวานะ แบบนั้นๆ” เจ้าตัวชี้ไม้ชี้มือไปยังคู่รักที่เพิ่งกระโดดลงมาด้วยกัน เสียงกรีดร้องดังออกมาทุกครั้งที่กระเด้งกลับขึ้นไปบนอากาศ
“วาครับ พี่เอกเขากลัวความสูง วาไปเล่นกับพี่กันต์แทนได้ไหมครับ” วายุภัคขมวดคิ้วแน่นหลังได้ยินสิ่งที่อชรายุพูด ความสูงไม่เห็นน่ากลัวสักนิดเดียว เขาเองยังเคยบินขึ้นไปสูงกว่าแท่นนั่นเสียอีก
“วาอยากเล่นกับพี่เอก พี่เอกไม่ต้องกลัวความสูงหรอก มันไม่มีอะไรน่ากลัวนะ มีวาอยู่ทั้งคนเชื่อมือได้เลย น๊า เล่นกับวานะครับพี่เอก” วายุภัคกำลังมองมาที่เขาด้วยความคาดหวัง ผิดกับอีกสองคนที่มองมาด้วยความกังวล เพราะความกลัวที่เขามีมันค่อนข้างจะมากกว่าคนทั่วไปหรือที่เรียกว่า โรคกลัวความสูง (Acrophobia) ถ้าจะถามว่าทำไมเขาถึงกลัวความสูงแบบนี้เขาเองก็ตอบไม่ได้ แต่เขาแค่ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกแย่จนไม่สามารถที่จะหายใจได้
หลังจากยืนนิ่งไปสักพัก เอกภักดิ์ก็ตัดสินใจที่จะลองทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำมาก่อนในชีวิต
เอกภักดิ์ให้คู่ของอติกันต์กับอชรายุล่วงหน้าไปก่อน แล้วเดินตามหลังไปโดยมีวายุภัคจับมือของเขาเอาไว้ตลอดเวลา หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รู้ตัวอีกทีเขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมรุนแรงที่พาดผ่านแผ่นหลังจากระดับความสูงในจุดที่เขายืนอยู่ วายุภัคกำลังกอดเขาเอาไว้ คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
“พี่เอกเชื่อใจวานะ พี่เอกจะต้องปลอดภัย ความสูงไม่น่ากลัวหรอก” พูดจบวายุภัคก็โถมตัวเข้าหาจนเอกภักดิ์หงายหลังแล้วตกลงมาจากแท่นที่ยืนอยู่ แรงดึงดูดมหาศาลของพื้นโลกยิ่งดึงให้ร่างของคนทั้งคู่ดิ่งลงด้านล่างอย่างน่ากลัว เอกภักดิ์รู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน แล้วร้องไห้ออกมาราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ แขนที่โอบรอบตัวเขากระชับแน่นขึ้น
“วาอยู่ตรงนี้นะพี่เอก พี่เอกไม่ต้องกลัว” มือเล็กๆ ลูบแผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา และช่วยในยืนยันว่าคนๆ นี้จะไม่ทิ้งเขาไปไหน ไม่ให้เขาต้องเผชิญกับความกลับเพียงลำพัง
แต่วินาทีที่เชือกถูกกระฉากลงไปจนสุด สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เชือกที่เป็นเหมือนเส้นแห่งชีวิตขาดสะบั้นลง แค่เสี้ยววินาทีร่างของทั้งคู่ก็จมลงสู่แม่น้ำอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเผลอกลืนน้ำเข้าไปหลายอึก อากาศหมดลงพร้อมๆ กับสติที่ถูกกลืนไปกับสายน้ำ
มาแบบสั้นๆ และตัวใหญ่ๆ ค่ะ แบ่งลงเป็นสองท่อนนะคะ ^^ เพราะลองลงท่อนเดียวแล้วอีดิทแล้วชอบเอ๋อๆ
“พ่อสวัสดีครับ” อชรายุเอ่ยทักเจ้าของบ้านที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ตัวเก่ง
คุณากรส่งเสียงตอบรับพลางเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ แต่เมื่อเห็นชุดผู้ชายลายดอกก็ชะงักไปเล็กน้อย
“จะไปทะเลกันใช่ไหม เจ้ากันต์บ่นว่าไม่อยากไปอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่พ่อเห็นเตรียมตัวเสร็จตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เออ ยุลองขึ้นไปตามสิแต่ระวังโดนลูกหลงนะ เห็นเมื่อกี้ตะโกนเรียกชื่อเจ้าเอกเสียเสียงดัง หูพ่อเกือบหนวกแหนะ” อชรายุพยักหน้ารับ สาวเท้าเดินขึ้นไปด้านบน มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจที่ห้อยรูปหัวใจขึ้นมาไขอย่างชำนาญ
ทันทีที่ประตูเปิดออกหมอนใบโตก็ลอยเข้ามาปะทะจนศีรษะเอนไปด้านหลัง
“กันต์ไม่ไปทะเลแล้ว ออกไปเลยนะ!!” อติกันต์นั่งทำหน้าบูดบึ้งอยู่บนเตียงในมือยังมีหมอนใบโตอยู่อีกใบ
“เฮ้ยพี่สาบานว่ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ไอ้เอกมันบอกว่ารถมันของเต็มแล้ว แล้วโทรบอกให้พี่มารับยุเมื้อกี้เอง”
“งั้นกันต์จะขับรถไปเอง” เจ้าของห้องลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินทางเอาไว้ในมือ แต่ก็ยังช้ากว่าอชรายุอยู่ดี
“ไอ้พี่ยุเอากระเป๋ากันต์มานะ” คนตัวโตกว่าเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ ยัดกระเป๋าลายจุดใบโตไว้บนรถได้ก็หันกลับมาหาคนที่ยืนโวยวายอยู่หน้าประตูบ้าน ย่างเท้าเข้าไปหาช้าๆ จนอติกันต์เผลอเดินถอยหลังไปหลายก้าว
“พ่อครับ ผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ” พูดจบอชรายุก็ยกอติกันต์ขึ้นพาดบ่า จนคนที่อยู่บนบ่าถึงกับร้องเสียงหลง พลางเอ่ยขอความช่วยเหลือ
“พ่อ!! ช่วยกันต์ด้วย ไอ้พี่ยุปล่อยกันต์นะ ปล่อย!!! พ่อ!”
“อืมๆ เที่ยวให้สนุกนะยุ เดินทางปลอดภัยล่ะ” คุณากรเดินออกมานอกตัวบ้าน แล้วชะโงกหน้ามาหาอติกันต์ที่ถูกยัดขึ้นไปบนรถแล้ว มือเรียวพยายามแกะสายรัดเข็มขัดนิภัยออก แต่ก็โดนขัดขวางเอาไว้ได้ทุกครั้ง
“เออเกือบลืมแหนะ กันต์อย่าลืมของฝากพ่อนะลูก รู้ใช่ไหมว่าพ่อชอบอะไร… ขับรถดีๆ นะยุ” คุณากรยืนโบกมือให้ก่อนที่รถแลนด์โรเวอร์สีฟ้าจะเคลื่อนตัวออกจากบ้านไปพร้อมเสียงโหยหวนสุดท้ายที่แว่วออกมาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่
“พ่อ!!!!!”
ท้องทะเลสีคราม ตัดกับผืนทรายสีขาวเนียนละเอียด ลมเบาๆ ที่พัดโชยอยู่ตลอดเวลาทำให้เมฆก้อนเล็กก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่เคลื่อนตัวผ่านไปอย่างช้าๆ และบางก้อนก็เปลี่ยนรูปร่างของตัวเองไปเรื่อยๆ เป็นบรรยากาศที่ทำให้หลายๆ คนรู้สึกผ่อนคลาย และสร้างรอยยิ้มให้คนที่เดินอยู่ริมชายหาดได้มากมาย แต่คงไม่ใช่กับคนที่นั่งหน้าบึ้ง คิ้วผูกเป็นโบว์ย่นๆ อยู่ตรงนี้แน่ๆ
ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นจ้องมองคนที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่พอใจ ฟันซี่เล็กๆ กำลังเคี้ยวหลอดที่ถูกเสียบอยู่ในแก้วน้ำแตงโมปั่นสีแดงอ่อนอย่างเมามัน ถ้าเลือกได้เจ้าตัวคงอยากขย้ำคอคนบางคนเสียมากกว่า เมื่อคนที่ถูกจ้องมองรู้สึกตัวก็หันมายิ้มให้อย่างอารมณ์ดีแทน แล้วเปลี่ยนเป็นส่งเสียงดุเมื่อคนที่เคี้ยวหลอดอยู่เมื่อครู่ทำท่าจะถอดเสื้อฮูดแขนกุดที่เขาซื้อมาออก
“ถ้าวาคิดจะใช้ร่างภูตออกไปเล่นน้ำทะเลก็เอาเลย พี่ไม่ห้ามหรอกครับ… แต่ถ้าวาทำเมื่อไหร่… พี่จะเอาสวิงนี่จับวา แล้วเราจะกลับกรุงเทพกันทันที” คนพูดชูสวิงสีขาวในมือให้ดูว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่การขู่แน่
คนฟังปล่อยมือออกจากเสื้อ ทิ้งตัวลงพิงเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด มือเล็กๆ จัดฮูดบนศีรษะให้เข้าที่แล้วผูกเชือกเสียแน่นจนเหลือเพียงแค่จมูกและปากเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา
“รออีกแป็บเดียวนะคนดี หันมานี่สิครับ” เอกภักดิ์ใช้มือประกบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างก่อนจะสอดมือเข้าไปในฮูดเพื่อทำให้หลวมมากขึ้น แอบสัมผัสใบหูแหลมเรียวจนคนที่โดนสัมผัสต้องย่นคอหนี ปิดท้ายด้วยการใช้นิ้วบีบจมูกเล็กๆ อีกสักที วายุภัคยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเองดังมาแต่ไกล
“น้องวา!! วาจ๋าวา!!” วายุภัคกระเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติ สาวเท้าวิ่งไปยังแหล่งกำเนิดเสียงทันที
“วาน้อยของพี่กันต์” ทั้งคู่โผเข้ากอดกันราวกับคู่รักที่พลัดพรากกันมานาน
“วันนี้วาแต่งตัวน่ารักจังเลย พี่เอกซื้อให้เหรอเนี่ย มีรสนิยมอยู่เหมือนกันนะ” ไม่พูดเปล่ามือทั้งคู่จับหูแมวสีดำที่อยู่ด้านบนฮูดเล่น แล้วบอกให้คนที่สวมฮูดส่งเสียงแมวให้ฟัง เมื่อได้ยินเสียงเมี๊ยวม๊าวก็เอ่ยชมว่าเก่งไม่ขาดปาก
“พี่กันต์ วาอยากเล่นน้ำทะเล” อติกันต์เบิกตากว้างราวกับเห็นสิ่งมีชีวิตนอกโลก เมื่อได้ยินความปรารถนาของคนตรงหน้า
“ไม่ได้นะ พี่จะไม่ยอมให้วาเล่นน้ำทะเลตอนนี้เด็ดขาด!” อชรายุเบ้ปากออกหมายจะร้องท้วง
“แดดร้อนขนาดนี้จะเล่นได้ยังไงกัน เดี๋ยวเป็นไข้ขึ้นมาจะทำไงเล่า” เอกภักดิ์ยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพออกพอใจ พลางพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ไม่ต้องห่วงนะวา พี่กันต์คนนี้จัดตารางทัวร์มาแล้ว รับรองมันแน่นอนพะยะค่ะ” คนพูดโบกกระดาษแผ่นโตในมือไปมาอย่างร่าเริง เอื้อมมือมาจับแขนวายุภัค แล้วดึงให้เดินไปด้วยกัน
“พี่ยุขับนะ” อชรายุกับเอกภักดิ์หันมามองหน้า ยักไหล่ให้กัน แล้วเดินตามหัวหน้าทัวร์ไป
อติกันต์ลากคณะทัวร์ลูกเป็ดที่เหลือตระเวนทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย เริ่มจากเปิดทัวร์ด้วยกิจกรรมเพ้นท์บอล ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ทีม ได้แก่ ทีมอติกันต์และวายุภัค และทีมเอกภักดิ์กับอชรายุ ถึงแม้ว่าคนในทีมหลังไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยกันสักเท่าไหร่ก็ตาม
หลังจากเริ่มการแข่งขันไม่ถึง 3 นาทีวายุภัคก็เก็บเรียบ เรียบในที่นี้คือเรียบจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่อติกันต์ จนเจ้าตัวต้องรีบอธิบายกติกาใหม่อีกรอบเป็นการด่วน ผลของการแข่งหลังจากนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เอกภักดิ์กับอชรายุแทบจะกลายเป็นเป้านิ่งสำหรับวายุภัค ส่วนอติกันต์ก็ได้แต่ยืนเชียร์วายุภัคอยู่หลังที่กำบัง ไม่ก็พยายามยิงกราดใส่อชรายุ หรือถ้าเบื่อมากๆ ก็วิ่งมาเป็นเป้าให้สองหนุ่มยิงเล่นเสียอย่างนั้น
จบจากเพ้นท์บอล คณะทัวร์ก็ตรงไปที่ ATV แทบจะทันที ถึงแม้ว่าวายุภัคจะขับรั้งท้ายในตอนแรกๆ เนื่องจากยังไม่ชำนาญ แต่ผ่านไปชั่วครู่ก็ขึ้นนำได้อย่างไม่ยากเย็น เจ้าตัวกระโดดดีใจจนตัวลอยเมื่อถึงเป็นคนแรก
เคเบิลสกีที่เป็นเป้าหมายต่อไปกลับต้องถูกพับเก็บลงชั่วคราวเมื่อวายุภัคเหลือบไปเห็นบันจี้จัมพ์ กีฬาท้าความสูงขึ้นมา แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อติกันต์ไม่เคยคิดจะเอาเข้ามาใส่ในแผนของเขา ไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวความสูง แต่คนที่กลัวคือพี่ชายของเขาต่างหาก และไม่ได้กลัวในระดับธรรมดา แต่เคยถึงขั้นหน้ามืดมาแล้ว
วายุภัคกระโดดลงจากรถด้วยความตื่นเต้นหลังจากรถจอดสนิท เงยหน้ามองคนที่กระโดดลงมาจากที่สูงด้วยความตื่นตาตื่นใจ ต่างจากคนข้างกายที่ยืนหน้าไร้สีอยู่เงียบ
“พี่เอกไม่ต้องเล่นหรอก เดี๋ยวให้พี่ยุอยู่เป็นเพื่อนนะ” วายุภัคหันกลับมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้งเมื่อมีคนกระโดดลงมาเป็นคู่
“พี่เอกเล่นกับวานะ แบบนั้นๆ” เจ้าตัวชี้ไม้ชี้มือไปยังคู่รักที่เพิ่งกระโดดลงมาด้วยกัน เสียงกรีดร้องดังออกมาทุกครั้งที่กระเด้งกลับขึ้นไปบนอากาศ
“วาครับ พี่เอกเขากลัวความสูง วาไปเล่นกับพี่กันต์แทนได้ไหมครับ” วายุภัคขมวดคิ้วแน่นหลังได้ยินสิ่งที่อชรายุพูด ความสูงไม่เห็นน่ากลัวสักนิดเดียว เขาเองยังเคยบินขึ้นไปสูงกว่าแท่นนั่นเสียอีก
“วาอยากเล่นกับพี่เอก พี่เอกไม่ต้องกลัวความสูงหรอก มันไม่มีอะไรน่ากลัวนะ มีวาอยู่ทั้งคนเชื่อมือได้เลย น๊า เล่นกับวานะครับพี่เอก” วายุภัคกำลังมองมาที่เขาด้วยความคาดหวัง ผิดกับอีกสองคนที่มองมาด้วยความกังวล เพราะความกลัวที่เขามีมันค่อนข้างจะมากกว่าคนทั่วไปหรือที่เรียกว่า โรคกลัวความสูง (Acrophobia) ถ้าจะถามว่าทำไมเขาถึงกลัวความสูงแบบนี้เขาเองก็ตอบไม่ได้ แต่เขาแค่ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกแย่จนไม่สามารถที่จะหายใจได้
หลังจากยืนนิ่งไปสักพัก เอกภักดิ์ก็ตัดสินใจที่จะลองทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำมาก่อนในชีวิต
เอกภักดิ์ให้คู่ของอติกันต์กับอชรายุล่วงหน้าไปก่อน แล้วเดินตามหลังไปโดยมีวายุภัคจับมือของเขาเอาไว้ตลอดเวลา หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รู้ตัวอีกทีเขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมรุนแรงที่พาดผ่านแผ่นหลังจากระดับความสูงในจุดที่เขายืนอยู่ วายุภัคกำลังกอดเขาเอาไว้ คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
“พี่เอกเชื่อใจวานะ พี่เอกจะต้องปลอดภัย ความสูงไม่น่ากลัวหรอก” พูดจบวายุภัคก็โถมตัวเข้าหาจนเอกภักดิ์หงายหลังแล้วตกลงมาจากแท่นที่ยืนอยู่ แรงดึงดูดมหาศาลของพื้นโลกยิ่งดึงให้ร่างของคนทั้งคู่ดิ่งลงด้านล่างอย่างน่ากลัว เอกภักดิ์รู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน แล้วร้องไห้ออกมาราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ แขนที่โอบรอบตัวเขากระชับแน่นขึ้น
“วาอยู่ตรงนี้นะพี่เอก พี่เอกไม่ต้องกลัว” มือเล็กๆ ลูบแผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา และช่วยในยืนยันว่าคนๆ นี้จะไม่ทิ้งเขาไปไหน ไม่ให้เขาต้องเผชิญกับความกลับเพียงลำพัง
แต่วินาทีที่เชือกถูกกระฉากลงไปจนสุด สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เชือกที่เป็นเหมือนเส้นแห่งชีวิตขาดสะบั้นลง แค่เสี้ยววินาทีร่างของทั้งคู่ก็จมลงสู่แม่น้ำอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเผลอกลืนน้ำเข้าไปหลายอึก อากาศหมดลงพร้อมๆ กับสติที่ถูกกลืนไปกับสายน้ำ
มาแบบสั้นๆ และตัวใหญ่ๆ ค่ะ แบ่งลงเป็นสองท่อนนะคะ ^^ เพราะลองลงท่อนเดียวแล้วอีดิทแล้วชอบเอ๋อๆ
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 5
คือ....เราไม่ชอบเอกเลยอ่า งี่เง่า อ่อนเเอ วาช่วยตลอด -*-
มอคราม- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 141
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 5
น้องวาดูดซํบฝันร้ายให้พี่เอกรึเปล่าเนี่ย
สงสัยพี่เอกจะมีเคราะห์หนัก น้องวาที่เป็นภูติประจำตัวเลยออกมาปกป้อง
สงสัยพี่เอกจะมีเคราะห์หนัก น้องวาที่เป็นภูติประจำตัวเลยออกมาปกป้อง
13cotton13- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 129
Join date : 03/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 5
น้องวาเก่งกีฬาจังเลย
ยังรอคอยความดราม่าต่อไป
คอมเมนต์เล็กน้อยนะคะ
- ตอนที่ 2 มีบางจุดที่อ่านแล้วงงๆว่าใครเป็นคนพูด
- จุดที่เชือกขาดน่าจะบรรยายให้ระทึกได้มากกว่านี้
ยังรอคอยความดราม่าต่อไป
คอมเมนต์เล็กน้อยนะคะ
- ตอนที่ 2 มีบางจุดที่อ่านแล้วงงๆว่าใครเป็นคนพูด
- จุดที่เชือกขาดน่าจะบรรยายให้ระทึกได้มากกว่านี้
Sier- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 107
Join date : 11/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 5
.....อ่านตอนนี้ เค้าแอบคิดให้เอกกับวาสลับขั้วกันล่ะ!! หุ ๆ
หมึกจีน- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 81
Join date : 01/04/2014
Similar topics
» Fairy Tell - บทที่ 1
» Fairy Tell - บทที่ 12
» Fairy Tell - บทที่ 13
» Fairy Tell - บทที่ 2
» Fairy Tell - บทที่ 3
» Fairy Tell - บทที่ 12
» Fairy Tell - บทที่ 13
» Fairy Tell - บทที่ 2
» Fairy Tell - บทที่ 3
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|