กิจกรรมสร้างงานให้เป็นเล่ม
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search

Latest topics
» Who’s the KING? } 16 [END]
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:30 pm

» Who’s The KING? } 15 - Special part form Pramuk.
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:25 pm

» Who’s the KING? } 15
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:23 pm

» Who’s the KING? } 14
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:09 pm

» Who’s the KING? } 13
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:01 pm

» Who’s the KING? } 12
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:50 pm

» Who’s the KING? } 11
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:40 pm

» Who’s the KING? } 10
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 5:59 pm

» Who’s the KING? } 9
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:39 pm

» Who’s the KING? } 8
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:31 pm

» Who’s the KING? } 7
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:19 pm

» Who’s the KING? } 6
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 1:49 pm

» Who’s the KING? } 5
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:57 am

» Who’s the KING? } 4
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:43 am

» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #2 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:26 am

» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #1
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:13 am

» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /14 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:03 am

» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /13
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:54 am

» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /12
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:43 am

» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /11
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:33 am


Fairy Tell - บทที่ 4

5 posters

Go down

Fairy Tell - บทที่ 4 Empty Fairy Tell - บทที่ 4

ตั้งหัวข้อ by เลื่อมประภัสสร Sat Apr 19, 2014 9:46 am

บทที่ 4
 
วันนี้เอกภักดิ์นัดหมายอชรายุมาที่คอนโดเพื่อที่จะเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ขณะเดินลงไปซื้อของที่ร้านขายของใกล้ๆ คอนโด เอกภักดิ์กลับรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เขาจึงรีบซื้อของแล้วรีบกลับขึ้นไปบนห้อง ขณะกำลังเดินกลับไปยังคอนโดสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็น… รถสปอร์ตสีแดง ด้านหน้าของตัวรถมีโลโก้เสือกำลังแยกเขี้ยวใส่เขาอยู่

ชิบหาย!!

ยังไม่ทันได้คิดอะไร ขาทั้งสองข้างก็รีบวิ่งตรงไปยังลิฟท์ทันที แต่ยังไม่ทันถึงด้านหน้าของตัวลิฟท์เอกภักดิ์ก็เห็นผู้ชายที่เป็นเจ้าของรถเสือแยกเขี้ยวกำลังเอื้อมมือไปกดชั้นในลิฟท์ เขาเพิ่มความเร็วขึ้นพร้อมร้องตะโกนเรียกแต่ก็ไม่ทัน ประตูเหล็กประกบเข้าหากันจนแน่นก่อนที่เขาจะมาถึงเพียงไม่กี่วินาที

ไฟที่หน้าลิฟท์บอกให้รู้ถึงหายนะที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ

เอกภักดิ์สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ออกแรงผลักประตูหนีไฟที่ไม่ค่อยมีคนใช้ให้เปิดออกแล้วเริ่มออกตัววิ่งด้วยแรงทั้งหมดที่มี ถึงเขาจะออกกำลังกายค่อนข้างบ่อย แต่การต้องมาวิ่ง 12 ชั้นนี่ก็ดูจะโหดร้ายกับร่างกายอยู่ไม่น้อย ขาทั้งคู่จึงสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่


เขาผลักประตูหนีไฟชั้นที่ 12 ออกแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจราวกับได้เหรียญทองโอลิมปิก แต่เสียงคุ้นหูที่แว่วมาก็ทำให้รอยยิ้มจางหายไปได้ในพริบตา เอกภักดิ์เค้นแรงเฮือกสุดท้ายออกวิ่งอีกครั้งพลางภาวนาให้มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด

“พี่เอก นี่ใคร!” ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เขาเห็นต่างจากที่เขาคิดไปนิดหน่อย เพราะเขาไม่เคยคิดว่าทั้งคู่จะได้เจอกันในสภาพพ่อลิงกับลูกลิงแบบนี้

วายุภัคกระโดดลงจากตัวอติกันต์แล้ววิ่งมาหลบอยู่ด้านหลังเขาแทบจะทันที

“เอกภักดิ์ ธิติรัตน์วรโชติ” อติกันต์เรียกชื่อเขาด้วยเสียงเย็นๆ ขยับข้อมือเล็กน้อย พลางย่างสามขุมหมายจะเข้ามาจัดการ แต่เขาขอร้องให้เข้าไปรอในห้องก่อน แล้วจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ฝ่ายตรงข้ามจึงทำเพียงแค่ส่งสายตาคาดโทษมาให้ ก่อนจะยอมเดินเข้าห้องไป

เอกภักดิ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่คิดว่าน้องชายของตัวเองจะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้ ถ้ารู้แบบนี้เมื่อวานเขาคงไม่ให้อชรายุลากน้องชายเขาไปเก็บให้เสียเวลา สู้อธิบายให้ฟังตั้งแต่เมื่อวานเรื่องราวก็คงจะง่ายกว่านี้

เขาหันไปกำชับคนที่หลบอยู่ด้านหลังว่าให้ทำตามที่ซ้อมเอาไว้เมื่อคืน แล้วจูงมือเล็กๆ เข้าห้องไปด้วยกัน



ทันทีที่เข้าไปในห้องก็ต้องพบกับสายตาของอติกันต์ที่จ้องเขม็งมายังคนที่อยู่ข้างกายจนวายุภัคเผลอกำเสื้อเขาแน่นเหมือนต้องการที่พึ่ง เขาจึงเลือกที่จะนั่งด้านข้างของอติกันต์แทนที่จะนั่งเผชิญหน้าโดยตรง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร เสียงออดหน้าประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน

เอกภักดิ์ลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยมีวายุภัคติดสอยห้อยตามเหมือนเงาตามตัว อชรายุมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอติกันต์นั่งอยู่ ก่อนจะยิ้มหน้าบาน รีบปรี่เข้าไปนั่งประกบข้างจนอติกันต์เกือบตกจากโซฟา อติกันต์ที่โมโหอยู่แล้วแทบจะหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะสาดใส่ฉลองสงกรานต์ล่วงหน้า โชคดีที่อชรายุแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคนที่ซวยที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเขาที่ต้องมานั่งเก็บกวาดนี่แหละ


หลังจากนั่งกันเรียบร้อยเอกภักดิ์ก็กระแอมไอเล็กน้อย แล้วเริ่มเอ่ยแนะนำแต่ละฝั่งให้รู้จักกัน

“ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จัก นี่วายุภัค หรือเรียกว่า วา ก็ได้ วาครับนี่พี่กันต์น้องชายพี่ ส่วนอีกคนที่ตัวสูงๆ นั่นพี่ยุครับเป็นเพื่อนพี่เอง” วายุภัคยกมือไหว้อย่างสวยงามตามที่ซ้อมมาเมื่อคืน แต่จากสายตาของอติกันต์ก็พอจะบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจเท่าไหร่นัก เอกภักดิ์จึงคิดที่พูดตามบทที่คิดขึ้นมาเพื่อหลอกอชรายุ แต่กลับได้น้องชายของเขาติดมาเป็นของแถมด้วย

“วาเขาเป็น…”

“ภูตครับ” คำตอบที่หลุดออกมาจากปากวายุภัคเรียกเสียงตกใจจากผู้ชายทั้ง 3 คนที่นั่งอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวของเขาเอง สมองก้อนเล็กๆ ทำการประมวลผลเร็วจี๋

“อ๋อ วาเขาจะบอกว่าเขาเป็นลูกทูตน่ะ พ่อเขาเป็นทูตไทยประจำประเทศมอลตา พี่รู้จักกับพ่อเขาผ่านทางพ่อของลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนพี่อีกที พอดีพี่ได้คุยกับท่าน ท่านบอกว่าอยากลงทุนแล้วก็สั่งสินค้ากับบริษัทของเรา”

“แล้วลูกชายท่านจะกลับมาเมืองไทยชั่วคราว ท่านทูตเลยรบกวนพี่ให้ช่วยหาที่พักที่ปลอดภัยให้ลูกชายของท่านหน่อย แต่ว่าพี่ไม่ค่อยว่าง แล้วก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ก็เลยให้วาเขามาพักกับพี่ชั่วคราว” เอกภักดิ์ตอบไปตามสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นได้ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าบางอย่างมันจะดูแปลกๆ ไปบ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เมื่อวายุภัคดันเอ่ยคำตอบที่ไม่ได้เตี้ยมกันมาเมื่อคืน

“พี่เอกเนี่ยนะยอมให้คนอื่นมาพักที่ห้อง!”

“จริงๆ ก็ไม่ใช่คนอื่นนะกันต์ เป็นลูกชายของลูกค้าคนสำคัญต่างหาก” เอกภักดิ์พยักหน้ารับ แต่คนพูดกลับโดนฟาดอย่างไม่ปราณี

“แล้วตอนนี้น้องวาทำอะไรอยู่เหรอครับ?” อชรายุเอ่ยถามพลางเอามือลูบแขนตัวเองเพื่อช่วยลดความเจ็บลง

“วากำลังเรียนมหา’ลัยอยู่คณะรัฐศาสตร์ เขาอยากเป็นทูตเหมือนพ่อ ใช่ไหมครับวา?” เอกภักดิ์ใช้ข้อศอกสะกิดคนข้างๆ เบาๆ

“เรียนที่นี่ หรือเรียนที่นู้น?” ทันทีที่เอกภักดิ์อ้าปากขึ้น อติกันต์ก็ยกขาขึ้นนั่งไขว้ห้างพลางตวัดสายตามาหา

“กันต์ว่ากันต์ถามวานะไม่ใช่พี่เอก หรือพี่เอกเปลี่ยนชื่อแล้วแต่กันต์ไม่รู้?” แวบหนึ่งเอกภักดิ์รู้สึกเหมือนเห็นนางร้ายในทีวีมาสิงร่างของน้องชายเขาอยู่

“เอ่อ… วาเรียนที่นู้นครับ”

“แล้วนี่สนิทกับพี่เอกเหรอ?”

“ก็ไม่เชิงครับ วาเคยรู้จักกับพี่เอกมาก่อนหน้านี้…”

“นี่กันต์คุยกับวาดีๆ สิ ดูวานั่งตัวลีบหมดแล้วนั่น” เอกภักดิ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นวายุภัคทำตัวเหมือนแมวป่วย ส่วนอติกันต์นั้นตรงกันข้าม ดูเหมือนเสือที่จ้องจะขย้ำเหยื่ออยู่ตลอดเวลา

“เอ่อ… เดี๋ยวพี่กับไอ้ยุไปเทอาหารก่อนดีกว่าจะได้กินกัน”

“ไหนบอกว่าป่วยไม่ใช่เหรอพี่เอก…” เอกภักดิ์ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ กลับไปให้ เขาเองก็ไม่อยากโดนเสือตัวนี้ขย้ำคอหอยเข้าหรอกนะ  



เอกภักดิ์กับอชรายุช่วยกันแกะอาหารที่อติกันต์ซื้อ และอาหารมังสวิรัติที่อชรายุทำมาใส่จาน ใช้เวลาเพียงไม่นานนักอาหารต่างๆ ก็ถูกเรียงรายอยู่บนโต๊ะโดยแยกอาหารมังสวิรัติกับอาหารที่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบอย่างชัดเจน

“คุยอะไรกันอยู่ฮึ?” เอกภักดิ์เอ่ยถามอติกันต์ที่ตอนนี้ย้ายที่ไปนั่งข้างวายุภัคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่เป็นคนโกรธง่าย แต่ก็หายเร็วพอๆ กัน คุยกับวายุภัคได้ไม่นานอติกันต์ก็ลืมเรื่องที่ตนเองโมโหก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เผาพี่เอกนิดหน่อยเอง เออจริงสิ พี่เอกมะรืนนี้พ่อชวนทานข้าวแหนะ เห็นบอกจะทำเมนูใหม่ด้วยนะ ชวนวาไปด้วยสิพี่เอกพ่อน่าจะชอบ วาออกจะน่ารักขนาดนี้” อติกันต์ดึงวายุภัคเข้าไปกอดเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแน่นขึ้นด้วยความหมั่นเขี้ยว จนอชรายุถึงกับยืนอยู่ไม่สุข

“วาใช้สบู่ยี่ห้ออะไร ทำไมตัวถึงได้นิ๊มนิ่มแล้วก็หอมขนาดนี้เนี่ย ขาวด้วยอ่ะ ขอกัดสักคำได้ไหม” คนพูดอ้าปากกว้าง หมายจะงับซอกคอขาวๆ นั่นให้หน่ำใจ แต่ก็ติดอยู่ที่มือหนาของคนบางคนที่เอื้อมมาปิดปากเอาไว้เสียก่อน

“หยุดเลยอติกันต์ ปากกันต์เอาไว้กัดพี่ได้คนเดียวเท่านั้น ถอยออกมาเดี๋ยวนี้” ได้ยินดังนั้นอติกันต์จึงจัดให้ตามใจปรารถนา เรียกเสียงร้องด้วยความเจ็บจากเจ้าของมือได้เป็นอย่างดี

“เลิกกัดกันได้แล้ว ไปทานข้าวเถอะเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย ไปครับวา” เจ้าของห้องรีบเอ่ยห้ามก่อนที่จะเกิดสงครามขึ้นในห้อง เขาจูงมือวายุภัคหนีไปนั่งที่โต๊ะ รอจนคู่กรณีทั้งสองตามมาสมทบ มื้ออาหารจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ทั้งสี่คนกินกันไป พูดคุยกันไปอย่างออกรสชาติ โดยมีเอกภักดิ์เป็นหัวข้อหลักของการพูดคุยและยังทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารให้ถึงจานของแต่ละคนอย่างสม่ำเสมอด้วย  



หลังทานอาหารเสร็จทุกคนช่วยกันเก็บจานอาหารไปวางไว้ในอ่างล้างจาน อติกันต์มอบหมายงานให้สองหนุ่มล้างจานแล้วจูงมือวายุภัคเดินออกไป แต่เดินไปไม่ถึงสามก้าวอติกันต์ก็ร้องขึ้นมา

“แมลงสาบ!!” อติกันต์กระโดดขึ้นเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับอชรายุภายในพริบตาราวกับใช้กำลังภายใน เอกภักดิ์มองหาอาวุธที่จะใช้ในการจัดการกับแมลงเจ้าปัญหา

“วาวางมันลงเดี๋ยวนี้นะ! อ๊ากกก! พี่ยุๆ แมลงสาบ!!!” วายุภัคเดินไปจับแมลงสาบแล้วเดินเข้าไปหาอติกันต์ที่ร้องโวยวายอยู่ ในที่สุดอติกันต์ก็ย้ายที่อยู่จากบนเก้าอี้ขึ้นไปอยู่บนหลังอชรายุแทนด้วยความกลัว

“วาส่งมันมาให้พี่นะ ช้าๆ” เอกภักดิ์ยื่นที่โกยผงไปหาขณะที่อีกมือมีไม้กวาดรออยู่แล้ว พลางพูดเกลี้ยกล่อมคนที่จับแมลงสาบเอาไว้ในมือ

วายุภัคยื่นมือออกมาข้างหน้าเล็กน้อยแต่ก็หดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่! วารู้ว่าพี่เอกจะตีมัน มันตกใจมากเลยนะ มันบอกว่า…” เอกภักดิ์เอื้อมมือมาปิดปากคนพูดเอาไว้แทบจะทันที

“เอ่อ… เดี๋ยวพี่เอาแมลงสาบไปปล่อยก่อนนะ” เอกภักดิ์รุนหลังคนที่โดนปิดปากอยู่ให้เดินออกไป

“พี่ยุปล่อยมือจากก้นกันต์ได้แล้วมั้ง” แมลงสาบถูกจับออกไปนอกห้องแล้ว แต่ก้นของเขากำลังถูกอชรายุจับอยู่!

มือเรียวตรงเข้าไปขยุ้มผมของคนตรงหน้าด้วยความโมโห




หลังเดินออกมาจากห้องได้วายุภัคก็กระตุกเสื้อเอกภักดิ์เบาๆ จนคนถูกดึงต้องหันกลับไปมอง แล้วก็พบว่าแมลงสาบในมือของคนตัวเล็กยืนสงบนิ่งเหมือนกำลังสำนึกผิด หนวดยาวๆ โบกไปมาอย่างเชื่องช้า

“พี่เอก… เจ้าแมลงสาบตัวนี้มันบอกว่าขอโทษที่มารบกวน แต่ว่าลูกๆ ของมันหิวมากมันก็เลยต้องออกมาหาอาหาร”

“นี่วาคุยกับมันรู้เรื่องด้วยเหรอ!?”

“วาสื่อสารกับจิตของมันได้จากการสัมผัส”

“งั้นวาช่วยบอกมันทีได้ไหมว่าให้ช่วยย้ายครอบครัวไปอยู่อาศัยที่อื่นซะ เพราะถ้าพี่หรือคนอื่นเจอ พี่ไม่รับประกันความปลอดภัยของมันนะ” วายุภัคพยักหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปบนหัวแมลงสาบอย่างแผ่วเบาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาคนที่ยืนอยู่ข้างกาย

“เขาบอกว่าคืนนี้เขาจะรีบเก็บข้าวของและย้ายออกไป นี่ๆ พี่เอก วาขอแบ่งอาหารให้ครอบครัวเจ้าแมลงสาบบ้างได้ไหมครับ?” เขาพยักหน้ารับเล็กน้อย วายุภัคจึงกำมือหลวมๆ เดินนำเข้าห้องที่กำลังเกิดสงครามขนาดย่อมๆ ไป

เอกภักดิ์เดินไปหยิบขนมขึ้นมาแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ  


วายุภัควางเจ้าแมลงสาบลงใกล้ๆ กับรังที่มันบอกพร้อมขนมที่เอกภักดิ์หยิบติดมือมา และโบกมือลา เจ้าแมลงสาบผงกหัวเล็กน้อยก่อนจะวิ่งเข้าไปในรูที่เป็นบ้านของมันและครอบครัว

เอกภักดิ์จ้องมองรูนั้นอย่างสนใจ ดูท่าพรุ่งนี้เขาจะต้องไปร้านขายวัสดุก่อสร้างระหว่างทางกลับบ้านสักหน่อยแล้ว  





หลังจากผู้ก่อสงครามกลับไปแล้ว ห้องของเอกภักดิ์ก็กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง เขาเอนตัวยาวลงบนโซอย่างเกียจคร้าน แล้วหลับตาลง ไม่นานนักเขาก็รู้สึกหนักๆ บริเวณแผ่นหลังเพราะโดนภูตยักษ์ใช้เป็นโซฟา

เอกภักดิ์ลองขยับตัวเบาๆ ดูก็มีเสียงหัวเราะคิกคักก็แว่วมาให้ได้ยิน
“วาครับ พี่เอกปวดหลังจังเลย… วานวดหลังให้พี่เอกหน่อยได้ไหมครับ?” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา แต่เอกภักดิ์กลับได้แรงกดเบาๆ จากฝ่ามือของคนที่อยู่บนหลังแทน

บีบๆ กดๆ ได้ไม่เท่าไหร่ คนนวดก็บ่นว่าเมื่อย แล้วเหยียดตัวนอนบนแผ่นหลังกว้างเสียอย่างนั้น

เอกภักดิ์พลิกตัวกลับแทบจะทันที แขนทั้งสองข้างตวัดเข้าหากันเพื่อป้องกันคนที่อยู่ด้านบนตกลงมา แล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จมูกโด่งๆ สูดดมกลิ่นหอมๆ ที่ลอยฟุ้งออกมา เจ้าตัวหัวเราะชอบอกชอบใจเสียยกใหญ่ หารู้ไม่ว่ากำลังจะตกเป็นเหยื่อให้เขากิน

“พี่เอก วาปวดฉี่” พูดจบปุ๊บคนในอ้อมกอดก็กระเด้งตัวลุกขึ้น ก้นนิ่มๆ ที่กระแทกเข้ามาทำเอาเอกภักดิ์ถึงกับนอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนโซฟา ส่วนคนก่อเรื่องก็วิ่งหายเข้าห้องน้ำไปในพริบตา

“พี่เอกทำอะไรเหรอ” คนปวดฉี่เมื่อครู่เอ่ยถามคนที่ยังคงนอนตัวงออยู่บนโซฟา

“อ๋อ พี่ออกกำลังกาย นี่ท่าใหม่เลยนะ เขาบอกมันจะทำให้ตัวยืด” เอกภักดิ์กัดฟันตอบออกมาเสียงเบา

วายุภัคพยักหน้าหงึกหงักแล้วพยายามจะทำตาม จนเอกภักดิ์ต้องฝืนยืดตัวตรงแทบไม่ทัน

“เอ่อ… วาดูการ์ตูนไหมครับ?” เอกภักดิ์รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อดึงดูความสนใจ ขณะที่ยังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างต่อเนื่อง

“การ์ตูนเหรอ? ดูสิ วาอยากดู มันเป็นยังไงเหรอ?” เขาไม่ได้อธิบายรายละเอียดอะไรมากนัก แต่เลือกที่จะใส่แผ่นเข้าไปแทน นั่งรอจนสามารถยืดตัวได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้วจึงเดินไปปอกมะม่วงที่อชรายุหิ้วมาฝาก

เมื่อเขาเดินกลับมาที่โซฟาอีกครั้งก็พบว่าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในห้องกำลังดึงดูดความสนใจคนตรงหน้าไปจนหมด ปากเล็กๆ สีชมพูจะอ้าเสียกว้างเมื่อเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ บางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะ หรือไม่ก็ตบมือขึ้นมา

“นี่ๆ พี่เอก วาต้องทำยังไงวาถึงจะเรียกน้ำแข็งอย่างเอลซ่าได้ล่ะ” คนถามเอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องภาพหญิงสาวบนจอกำลังสร้างปราสาทน้ำแข็ง และมีมะม่วงเต็มปากอยู่

เอกภักดิ์นิ่งไปชั่วครู่ ภูตอย่างวายุภัคมาถามเขาแบบนี้ แล้วเขาควรจะไปถามใคร…

“แล้ววาทำไม่ได้เหรอครับ?” สิ้นคำถามวายุภัคก็หันขวับมาหาเขา มือเล็กๆ นั่นไม่ลืมที่จะกดปุ่มหยุดตามที่สอนไปเมื่อครู่

“ภูตแต่ละตนจะมีความสามารถในการใช้เวทย์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ใช้ได้แค่ตนละอย่างเท่านั้น มองตาวาสิพี่เอก” ใบหน้าเรียวเลื่อนเข้ามาใกล้ จนเขาเผลอถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อโดนดวงตาคู่นั้นจ้องมอง

“ตาของวาเป็นสีมรกตเพราะวามีเวทย์ที่สามารถใช้พลังจากพระพายได้ แต่ภูตในโลกภูตยังมีดวงตาหลักๆ อีก 3 สี ได้แก่ สีอำพันเข้มสามารถใช้พลังจากพระธรณี สีไพลินสามารถใช้พลังจากพระคงคา และสีทับทิมสามารถใช้พลังจากพระเพลิงได้ พลังเหล่านี้จะมีติดตัวมาตั้งแต่ภูตถือกำเนิดขึ้น” คนพูดหันกลับไปกินมะม่วงในจานต่อ นิ้วเล็กๆ กดปุ่มให้ภาพในจอกลับไปเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“งั้นพี่ถามวาได้ไหมว่าภูตกำเนิดขึ้นมาได้ยังไง?” เมื่อเขาถามขึ้นเจ้าตัวก็เอ่ยตอบโดยไม่ละลายตาจากภาพบนหน้าจอ เหมือนจะสามารถแยกแยะประสาทได้แล้ว

“โอเคพี่เอก ภูตอย่างวากำเนิดขึ้นจากดวงจิตแห่งธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาที่ดวงจิตแห่งธรรมชาติผูกพันกับคู่ชีวิตที่ผ่านการอภิเษก ภูตจะถือกำเนิดขึ้น และภูตทุกตนจำเป็นจะต้องได้รับการขานนามจากธรรมชาติ เพื่อให้ธรรมชาติได้รับรู้ถึงการถือกำเนิด เพราะในยามดับสิ้นภูตจะหวนคืนกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอีกครั้ง”

“ถึงแม้ว่าภูตส่วนใหญ่จะไม่ดับสิ้นและมีอายุที่ยืนยาว แต่ภูตสามารถดับสิ้นได้จากการถูกฆ่า หรือตรอมใจจนดับสิ้นไปเอง” วายุภัคพูดนิ่งๆ แต่เขากลับรู้สึกโหวงๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก รู้ตัวอีกทีคนตัวเล็กก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว เขากอดคนในอ้อมกอดเอาไว้จนแน่นราวกับจะยืนยันกับตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ภาพลวงตา ถึงแม้จะรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่เขากลับไม่อยากให้คนตรงหน้าหายไปไหน

“วาจะอยู่กับพี่ตลอดไปใช่ไหมครับ?” ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าคนตรงหน้าก็มีบ้านให้กลับ มีครอบครัวที่เฝ้ารออยู่เช่นเดียวกับเขา แต่เขาก็ยังเอ่ยถามคำถามที่เห็นแก่ตัวออกไปจนได้

“วาไม่สามารถให้คำมั่นกับพี่เอกได้หรอก แต่ตราบใดที่วายังมีลมหายใจ วาจะคอยภาวนาและอำนวยพรให้พี่เอกประสบแต่สิ่งที่ดีอยู่เสมอ” คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้เอกภักดิ์รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย เขามองตรงเข้าไปในดวงตาสีมรกตคู่นั้นขณะที่จับมือเอาไว้แน่น

“พี่ขอยกพรนั้นให้วาได้ไหม? พี่ขอให้วามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีชีวิตที่ยืนยาว” วายุภัคไม่ตอบคำ แต่ยกยิ้มน้อยๆ กลับมาให้เขาแทน







ภายในห้องมีแต่แสงนวลตาจากดวงจันทร์ดวงโตที่ส่องแสงไปทั่วทั้งท้องฟ้า แล้วยังเผื่อแผ่มาถึงห้องนี้ด้วย เอกภักดิ์เดินตรงไปยังเตียงที่มีคนตัวเล็กนอนมองตาแป๋วอยู่ เขาเอนตัวลงข้างๆ ดึงผ้านวมผืนโตขึ้นมาจนถึงอก

“พี่เอก มีคนเคยบอกไหมว่าพี่เอกกับพี่ยุหน้าตาคล้ายกัน?” วายุภัคเอ่ยถามขณะเอานิ้วมาจิ้มบริเวณคางของเขาเล่นจนเขาเผลอหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วรวบมือเล็กๆ คู่นั้นเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว  

“แทบจะทุกคนแหละครับวา ครั้งแรกที่เห็นหน้ามันนะพี่ยังนึกว่าตัวเองแยกร่างได้เลย แต่เพราะว่าหน้าตามันคล้ายพี่แบบนี้แหละพี่กันต์ถึงกับเคยติดป้ายหน้าบ้านว่า ห้ามอชรายุเข้า เลยนะ"

“สงสัยมันคงโมโหมั้งที่มีแต่คนทักว่าพี่ยุเป็นน้องพี่ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันเป็นน้อง” เอกภักดิ์จำได้ว่ามีอยู่ครั้งนึงอติกันต์สั่งทำเสื้อสกรีนคำว่าน้องชายเอกภักดิ์ มีลูกศรขนาดใหญ่บนตัวเสื้อที่ชี้มาทางด้านขวา และทุกครั้งที่ต้องออกไปไหนกับเขา อติกันต์ก็จะหยิบเสื้อตัวนี้มาใส่และเดินอยู่ด้านซ้ายเสมอ

“แต่มันก็ไม่แปลกหรอกที่พี่กับพี่กันต์จะหน้าตาไม่เหมือนกัน เพราะเราทั้งคู่เป็นลูกบุญธรรมที่ถูกรับมาเลี้ยง”


ใช่ เขากับอติกันต์เป็นเด็กที่คุณากรเป็นคนรับมาเลี้ยงดู ผู้เป็นพ่อเล่าให้เขาฟังตั้งแต่ยังเด็ก ว่าเห็นเขานอนหลับอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 5 ขวบได้แล้วมั้ง แต่กลับไม่ยอมพูดสักคำ จนพ่อนึกว่าเขาเป็นใบ้เสียด้วยซ้ำ พ่อพาเขาไปหาคุณตำรวจ แล้วหลังจากนั้นพ่อก็มีลูกชายที่น่ารักเป็นของตัวเอง

เมื่อพ่อเห็นว่าเขาไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นัก พ่อก็เลือกที่จะพาเขาไปที่บ้านเด็กกำพร้า จนได้อติกันต์มาเป็นลูกชายอีกคนของบ้านนี้จากฝีมือการเลือกของเขาเอง พอมีอติกันต์เป็นเพื่อนเขาก็เริ่มพูดคุยมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าผู้เป็นน้องอยู่ดี พ่อบอกว่าบางทีเขาก็แอบหนีอติกันต์ไปเล่นคนเดียว แต่ไม่นานก็ถูกอติกันต์ตามตัวเจอจนได้

และถึงแม้ว่าเขากับอติกันต์จะไม่มีแม่เหมือนคนอื่นๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดหรือน้อยใจแต่อย่างใด เพราะผู้เป็นพ่อคอยดูแลและทำหน้าที่ในการสั่งสอนได้เป็นอย่างดี

พ่อของเขาถือคติว่าลูกต้องมาก่อนเสมอ ดังนั้นต่อให้มีงานยุ่งแค่ไหนพ่อก็จะปลีกตัวมาทุกครั้งที่มีกิจกรรมที่โรงเรียน หรือประชุมผู้ปกครอง พ่อมักจะพูดคุยและรับฟังปัญหาต่างๆ ของพวกเขาเสมอ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม พ่อไม่เคยบังคับให้พวกเขาทำอะไร หรือเป็นอะไรตามที่พ่อต้องการ แต่กลับสนับสนุนให้ได้ลองทำสิ่งต่างๆ แล้วตัดสินใจด้วยตนเอง และถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ค่อยมีเวลาแต่พ่อก็ทำให้พวกเขาเห็นว่าปริมาณของเวลาที่มีสำคัญน้อยกว่าการใช้เวลาได้อย่างมีคุณภาพด้วยตัวของพวกเขาเอง

พวกเขาจึงเติบโตขึ้นมาด้วยการเป็นคนเห็นคุณค่าของเวลา และไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แม้มีเวลาเพียงน้อยนิดแต่พวกเขาจะพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุด แล้วยอมรับในผลที่เกิดการกระทำของตัวเอง

“วาขอโทษที่ถามนะพี่เอก”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้พี่ก็มีความสุขดี ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก” เอกภักดิ์ใช้มือลูบหัวคนที่เขยิบเข้ามาใกล้เบาๆ

“แล้วพี่เอกอยากพบผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงไหม?”

“อืม… ตอนเด็กๆ พี่ก็เคยคิดนะ พี่อยากเจอพวกเขา พี่อยากถามว่าพวกเขาทิ้งพี่ทำไม พวกเขาไม่รักพี่เหรอ แต่พอโตขึ้น พี่คิดว่าไม่เจอกันคงจะดีกว่า เพราะขนาดพวกเขายังไม่อยากเจอพี่เลย แล้วพี่จะอยากเจอพวกเขาไปทำไมล่ะ จริงไหม?” วายุภัคสูดหายใจเสียงดัง แล้วส่งเสียงอู้อี้ออกมา

“แล้ว… แล้วถ้ามันไม่ใช่แบบนั้นล่ะพี่เอก ถ้ามันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ถ้าพวกเขายังรักพี่เอกอยู่”

“หือ วาจะปลอบพี่เหรอครับ ขอบคุณนะ แต่พี่ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”

“พี่เอก วาขอโทษนะ วาขอโทษจริงๆ” วายุภัคกอดเขาเสียแน่นจนตัวเองจมเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาแทน หยาดน้ำตามากมายไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวย

เอกภักดิ์ทั้งกอดทั้งลูบหลังคนที่ส่งเสียงสะอื้นออกมา พลางเอ่ยปลอบใจคนในอ้อมกอดอยู่นานจนกระทั่งเจ้าตัวผลอยหลับไปในที่สุด เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้าเนียนอย่างเบามือ แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราตามไป




“รีบๆ ตักตวงความสุขเอาไว้เถอะ อีกไม่นานนักหรอก…” เสียงแผ่วเบาล่องลอยมาตามสายลม





sunny
เข้าสู่ภาวะจิตตกเล็กน้อยค่ะกับการตามข่าวเรือล่มมาตลอดหลายๆ วัน ก็เลยไม่ได้แต่งอะไรเท่าไหร่
เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเราบ้าง
ถ้าเป็นไปได้บอกรักกันทุกวัน และพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กันและกันก็คงจะดีนะคะ


แก้ไขล่าสุดโดย เลื่อมประภัสสร เมื่อ Tue May 13, 2014 9:42 am, ทั้งหมด 5 ครั้ง
เลื่อมประภัสสร
เลื่อมประภัสสร
นักเขียน

จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Fairy Tell - บทที่ 4 Empty Re: Fairy Tell - บทที่ 4

ตั้งหัวข้อ by น้ำไหล Sat Apr 19, 2014 11:36 am

แหม 'ปากกันต์เอาไว้กัดพี่ได้คนเดียว' ด้วย >/////< #ตรบพี่ยุด้วยความขวยเขิน (!!?)

อ๋ายยยยยยย วังวนดราม่าก่อกำเนิดแล้ว T_T
น้ำไหล
น้ำไหล
นักเขียน

จำนวนข้อความ : 172
Join date : 01/04/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Fairy Tell - บทที่ 4 Empty Re: Fairy Tell - บทที่ 4

ตั้งหัวข้อ by มอคราม Sun Apr 20, 2014 10:47 am

รับรู้ถึงความหอมหวานของมาม่ามาใกล้ๆ 555 ชอบๆๆๆ
มอคราม
มอคราม
นักเขียน

จำนวนข้อความ : 141
Join date : 01/04/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Fairy Tell - บทที่ 4 Empty Re: Fairy Tell - บทที่ 4

ตั้งหัวข้อ by 13cotton13 Thu May 01, 2014 1:19 pm

เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีแล้วมีอะไรมาขัดซะงั้น
13cotton13
13cotton13
นักอ่าน

จำนวนข้อความ : 129
Join date : 03/04/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

Fairy Tell - บทที่ 4 Empty Re: Fairy Tell - บทที่ 4

ตั้งหัวข้อ by Sier Mon Jun 02, 2014 1:50 pm

โบกธง "I love brocon" >_< กันต์น่ารักจังเลย
น้องกันต์คะ น้องยอมน้องวาง่ายไปนะคะ~

จบตอนได้น่าติดตามดีค่ะ

Sier
นักอ่าน

จำนวนข้อความ : 107
Join date : 11/04/2014

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ