ค้นหา
Latest topics
» Who’s the KING? } 16 [END]by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:30 pm
» Who’s The KING? } 15 - Special part form Pramuk.
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:25 pm
» Who’s the KING? } 15
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:23 pm
» Who’s the KING? } 14
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:09 pm
» Who’s the KING? } 13
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:01 pm
» Who’s the KING? } 12
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:50 pm
» Who’s the KING? } 11
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:40 pm
» Who’s the KING? } 10
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 5:59 pm
» Who’s the KING? } 9
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:39 pm
» Who’s the KING? } 8
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:31 pm
» Who’s the KING? } 7
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:19 pm
» Who’s the KING? } 6
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 1:49 pm
» Who’s the KING? } 5
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:57 am
» Who’s the KING? } 4
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #2 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:26 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #1
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:13 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /14 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:03 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /13
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:54 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /12
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /11
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:33 am
Fairy Tell - บทที่ 10
5 posters
หน้า 1 จาก 1
Fairy Tell - บทที่ 10
บทที่ 10
ท่ามกลางความมืดมิดเสียยิ่งกว่าราตรีกาล ความหนาวเหน็บมากมายที่เข้าเกาะกุม และภาพนิมิตที่ล้อมรอบกายส่งผลให้คนที่อยู่ภายในแทบไม่รับรู้ว่าสิ่งไหนคือเรื่องจริง หรือสิ่งไหนคือภาพลวงตา บางครั้งต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร่ำไห้ของมาตุเรศ หรือบางวันก็เห็นบิตุรงศ์ผู้เป็นองค์ราชาแห่งแดนภูตถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น
วันเวลานั้นก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บางคราวอาจรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเนินนานชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่บางครั้งกลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเพียงแค่ครึ่งลมหายใจ
ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในโลกที่มืดมิดวายุภัคพยายามดิ้นรนทุกวิธีทางเพื่อออกไปจากสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนเขาก็ยังคงตกอยู่ในโลกที่มืดดำเช่นเดิม
วายุภัคไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หรือพยายามไปมากเท่าไหร่ แต่ในที่สุดวายุภัคก็ยอมจำนนต่อสิ่งที่ต้องเผชิญในที่สุด เขานั่งลงแล้วเอาขาทับกันอย่างที่ท่านอาจารย์เคยสั่งสอน กำหนดดวงจิตให้ว่างและไม่ฟุ้งซ่านไปตามสิ่งที่อยู่รอบกาย แต่ก็เรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ขณะที่นั่งหลับตาอยู่นั้นห้วงขณะหนึ่งวายุภัคกลับได้ถึงหยาดน้ำอุ่นร้อนที่ไหลผ่านเรือนร่างของตนไป เขาหาได้เกรงกลัวต่อการดับสิ้นไม่ เพราะภูตทุกตนมักถูกสั่งสอนว่าการดับสิ้นไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด แต่สิ่งที่วายุภัคกลัวกลับเป็นการไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้งเสียมากกว่า
วายุภัคทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งๆ และรอให้วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างไร้จุดหมาย ความสิ้นหวังค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาทีละน้อย จนกระทั่งได้สัมผัสกับแสงสว่างเป็นครั้งแรก ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป
แสงนั้นไม่ได้สว่างจ้าเสียจนแสบตา ตรงกันข้ามมันกลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดยามจ้องมอง ขาเรียวผลุดลุกขึ้นพลางสาวเท้าเข้าไปหาแสงสีขาวนั้นอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วก็กลับไม่สามารถก้าวเท้าต่อไปได้ เพราะมือสีดำมากมายที่ดึงรั้งขาทั้งสองข้างเอาไว้ เสียงสบถสาปแช่งดังก้องไปทั่วจนวายุภัคต้องยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองจนแน่น ไม่นานนักแสงนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนหายไปจากสายตา
ร่างเล็กยืนนิ่งงันไปชั่วครู่ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเหล่าดวงจิตที่กำลังชี้หน้าด่าทออยู่ เขาส่งยิ้มกว้างราวกับได้รับคำชื่นชม ทรุดตัวลงตรงท่ามกลางวงล้อมของดวงจิตสีดำ ขยับกายให้อยู่ในท่าที่สบายแล้วเริ่มเอื้อนเอ่ยถ้อยวจีเพื่อเล่าขานถึงเรื่องราวและถิ่นกำเนิดของตน จอมจ่มอยู่ในห้วงเวลาแสนสุขในวัยเยาว์อีกครา
ดินแดนแห่งภูตรานั้นถือกำเนิดขึ้นจากดวงจิตแห่งธรรมชาติ และดวงจิตแห่งธรรมชาตินี้เองที่ก่อกำเนิดภูตยุคแรกๆ ขึ้น ดินแดนแห่งธรรมชาตินี้ก่อกำเนิดมายาวนานนับพันนับหมื่นปีภูต วัฒนธรรมและศิลปะจากธรรมชาติทั้งการแกะสลักไม้ หรือการทำสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มีความงดงามและอ่อนช้อยแสดงถึงความเป็นตัวตนของพวกภูตได้เป็นอย่างดี และเพราะอยู่อาศัยกับธรรมชาติมาเนิ่นนาน ภูตจึงชำนาญในการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์และสามารถสื่อสารกับธรรมชาติได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดินแดนภูตประกอบไปด้วยฤดูทั้งสิ้น 4 ฤดู เริ่มจากวสันต์ฤดู เหล่าสัตว์ทั้งหลายตื่นจากการจำศีล ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มผลิใบอ่อนออกมาให้ชื่นชมจนเขียวขจีไปทั้งดินแดน จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่คิมหันต์ฤดู ในฤดูนี้จะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าฤดูอื่นๆ หมู่มวลดอกไม้ทั้งหลายพากันผลิบานสร้างสีสันละลานตาแข่งกันประกาศศักดาความงามของตน เมื่อคิมหันต์ฤดูผ่านพ้นจึงจะเข้าสู่สารทฤดู ใบไม้ทั้งหลายพากันเปลี่ยนสีและร่วงหล่นจากต้น ฤดูนี้มีการเฉลิมฉลองกันด้วยผลผลิตที่เก็บมาได้จากฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวนี้ และยังถือว่าเป็นฤดูหนึ่งที่งดงามมากที่สุดในแดนภูตก็ว่าได้ ส่วนฤดูสุดท้ายของปี คือ เหมันต์ฤดู ฤดูนี้ไม่สามารถปลูกพืชผลใดๆ ได้ และมีเกล็ดน้ำแข็งร่วงหล่นจากฟากฟ้า พวกภูตจำต้องดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยเฉพาะปีกของตนเอง แต่ถึงกระนั้นพวกภูตเด็กๆ ก็ชอบออกมาวิ่งและบินเล่นนอกบ้านจนพวกผู้ใหญ่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน ในหนึ่งปีภูตฤดูต่างๆ จะผ่านพ้นไปทุกๆ 3 เดือน โดยผู้ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนผ่านฤดู คือ เหล่าภูตที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ได้แก่ ภูตวสันต์ ภูตคิมหันต์ ภูตสารท และภูตเหมันต์ และพวกภูตจะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นทุกครั้งที่ทำพิธีเปลี่ยนผ่านแต่ละฤดู
ดินแดนภูตถูกปกครองโดยองค์ราชา และองค์รานีผู้เป็นใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในแดนภูต ถึงกระนั้นกลับไม่มีคำว่าชนชั้นหรือวรรณะใดๆ มาเป็นตัวขัดขวางการสร้างสัมพันธ์ต่อกันได้ เนื่องจากในแดนภูตนั้นถือว่าภูตทุกตนล้วนมีคุณค่าภายในตนทั้งสิ้น อีกทั้งยังก่อกำเนิดจากธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกันและเมื่อดับสิ้นลงก็ต้องกลับไปรวมกับธรรมชาติอีกครั้งอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ภูตในแดนภูตจึงสื่อสารกันด้วยภาษาเพียงระดับเดียว โดยภูตแต่ละตนมักจะให้เกียรติซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องการตรากฎใดๆ ขึ้นมาให้วุ่นวาย แม้กระทั่งผู้มีตำแหน่งสูงส่งก็มักจะมีการเรียกชื่อตำแหน่งแทนนามโดยตรงเพื่อความสะดวกและให้เกียรติเพียงเท่านั้น
องค์ราชา และองค์รานีทุกรุ่นมักจะทำพิธีบรมราชาภิเษกหลังจากที่ผู้สืบเชื้อสายก่อกำเนิดบุตรหรือบุตรี ดังนั้นหลังจากที่วายุภัคถือกำเนิดขึ้น บิตุเรศที่เป็นภูตคิมหันต์จึงกลายมาเป็นองค์ราชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมาตุเรศเป็นบุตรีขององค์ราชาองค์ก่อน
ดังนั้นตั้งแต่จำความได้วายุภัคก็วิ่งเล่นและหลับนอนอยู่แต่ในต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใจกลางของดินแดนเสียจนเคยชิน แต่ถึงจะเป็นถึงบุตรแห่งองค์ราชา วายุภัคกลับไม่ได้เป็นภูตที่มีพลังอะไรมากมายนักเพราะถือกำเนิดเป็นไข่เพียงแค่วันเดียวก็ได้รับการขานนามเสียแล้ว ต่างจากไข่ใบโตที่อยู่ข้างกายมาตั้งแต่จำความได้ ถึงแม้ว่าจะกำเนิดมาก่อนเขาถึง 84 ปีภูต แต่กลับไม่มีวี่แววว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านในจะยอมออกมารับการขานนามเสียที จนวายุภัคแอบเรียกเจ้าไข่ใบนั้นว่าเจ้าไข่ขี้เกียจ เจ้าไข่ขี้เกียจที่ว่านี้มีเปลือกสีขาวเกือบทั้งใบเฉกเช่นไข่ของภูตทั่วๆ ไป แต่บริเวณกลางใบกลับมือรอยวงแหวนสีน้ำตาลอมเหลืองราวกับมีใครตั้งใจทำเอาไว้
ในตอนนั้นวายุภัคหาได้สนใจคำที่มาตุเรศกล่าวว่าภูตที่อยู่ในไข่ใบนี้เป็นคู่ทางจิตวิญญาณของเขาไม่ เขาแค่ชอบพกไข่ใบโตไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เพราะมันทำให้เขาอบอุ่นได้โดยเฉพาะในช่วงเหมันต์ฤดู ขอเพียงแค่ท่านวสุนธราไม่ว่ากล่าวเขาเท่านั้นก็พอ ดังนั้นถึงแม้ว่าบิตุรงค์จะว่ากล่าวตักเตือนสักเพียงใด แต่เขาก็จะแอบหนีบไข่ไปนั้นไปเที่ยวเล่นได้อยู่ดี
และด้วยความที่เป็นบุตรแห่งองค์ราชานี่เองจึงทำให้วายุภัคมีเพื่อนอยู่ไม่ค่อยมากเท่าไหร่นัก เขามักจะโดนพี่เลี้ยงสาวกักตัวให้อยู่เสียแต่ในต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเพื่อนที่เจ้าตัวคุ้นเคยมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นวัลยาณี ภูตสาวที่มีนัยต์ตาสีทับทิม เรือนผมของเธอเป็นสีแดงเช่นเดียวกับดวงตาตัดกับดวงหน้าขาวอมชมพู ใบหน้าเรียวได้รูปและริมฝีปากเล็กๆ คู่นั้นมักเอ่ยออดอ้อนเขาอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุเพราะวัลยาณีเป็นบุตรีของท่านปักษธรผู้เป็นน้องของมาตุเรศจึงทำให้มีโอกาสได้พบเจอกันอยู่บ่อยๆ ไม่นานวัลยาณีที่ถือกำเนิดในเวลาไล่เลี่ยกันก็เกาะติดวายุภัคแจ
“วายุภัคนั่นเจ้าจะไปไหน รอข้าด้วยสิ” สาวน้อยตะโกนเสียเสียงดังจนคนที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ริมหน้าต่างรีบหันหน้ากลับมาทำหน้าตาดุใส่ พลางยกนิ้วป้อมๆ จรดที่ริมฝีปาก ภูตน้อยยกนิ้วขึ้นเลียนแบบบ้าง
“เบาๆ สิ ถ้าข้าโดนพี่เลี้ยงจับได้ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าอีก ถ้าอยากไปด้วยก็ตามมา… เงียบๆ ล่ะ” สองมือดึงรั้งผ้าอีกครั้งจนมั่นใจแล้วโผบินออกนอกหน้าต่าง วัลยาณีไม่รอช้ารีบกระโดดตามออกไปทันที ผมสีเพลิงยกศกสยายออกล้อสายลมเล่นขณะเร่งความเร็วตามอีกฝ่าย
“นี่เจ้าเอาไข่นี่ติดตัวมาอีกแล้วเหรอ เล่นอะไรก็ไม่เห็นได้เลย” วัลยาณีเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นไข่ใบโตที่ถูกผูกติดเอาไว้บริเวณลำตัว
“มาตุเรศบอกข้าว่าไข่ใบนี้เป็นคู่ทางจิตวิญญาณของข้านะ ข้าต้องพาออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ ขืนออกมาจากไข่แล้วซื่อบื่อเหมือนเจ้าข้าก็แย่นะสิ” วายุภัคว่าพลางใช้มือลูบคลำไข่ไปมา ไม่สนสายตาคนที่พาดพิงถึงเลยแม้สักนิด
“ข้ามีที่ที่หนึ่งที่อยากให้เจ้าไปเห็น ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสนุกแน่ๆ” วายุภัคเงยหน้าขึ้นมองภูตตัวเล็กแล้วพยักหน้าให้
“เอาสิ เจ้านำไปเลย เดี๋ยวข้าจะตามไปติดๆ” พูดจบภูตสาวก็เร่งความเร็วขึ้น เพียงชั่วครู่ทั้งคู่ก็เข้ามาอยู่ในห้องขนาดใหญ่ หลังจากวัลยาณีใช้กิ่งไม้ดันหมุดตรึงม่านใบไม้ออก รอบห้องเต็มไปด้วยตำรามากมาย อุปกรณ์ถูกวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ ประตูไม้บานใหญ่ที่ด้านหน้าถูกปิดสนิท จึงมีเพียงแสงที่เล็ดลอดเข้ามาจากทางที่ทั้งคู่เข้ามาเท่านั้น
วัลยาณีเดินนำหน้าพลางกวักมือเรียกวายุภัคให้เดินตามไป ที่ด้านในสุดของห้องมีประตูไม้ถูกสลักลวดลายงดงาม แต่ละบานมีอักขระมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคนเขียน เสียดายเพียงแต่ว่าเขาอ่านไม่ออกก็เท่านั้น
ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรต่อวัลยาณีก็ใช้แรงทั้งหมดผลักบานประตูจนมันค่อยๆ เปิดออก แสงที่ออกมาจากประตูบานนั้นสว่างจ้าจนภูตทั้งสองต้องยกมือขึ้นบัง ก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆ ลดความสว่างลง จนกระทั่งทุกอนูในห้องถูกอาบไล้ไปด้วยลำแสงสีนวลตา วายุภัคจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
“นี่มันคือประตูอะไรงั้นรึ แสงนี่มันช่างสวยเหลือเกิน ข้าเดินเข้าไปได้ไหม”
“ไม่ได้นะ! ประตูนี้คือประตูแห่งกาลเวลาที่นำพาภูตไปสู่แดนมนุษย์ เจ้าสามารถข้ามผ่านไปได้ง่ายดายนัก แต่การที่เจ้าจะกลับมาได้นั้นจำเป็นจะต้องมีกุญแจ”
“ข้าอยากไปเที่ยวโลกมนุษย์นี่ เจ้าหากุญแจให้ข้าหน่อยได้ไหม ข้าจะพาไข่ของข้าไปเที่ยว”
“คงไม่ได้หรอก ข้าหาใช่ภูตอำนวยพรไม่ แล้วทำไมเจ้าถึงต้องเอาไอ้ไข่ไปนี้ไปแทนที่จะเป็นข้าเล่า ส่งไข่ของเจ้ามานี่นะ” พูดยังไม่ทันจบวัลยาณีก็ช่วงชิงไข่เอามาถือไว้โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว วายุภัคที่ห่วงไข่ใบนี้เสียยิ่งกว่าจงอ่างท้องแรกก็ใช้มือป้อมๆ ไขว่คว้าพยายามแย่งชิงไข่กลับคืน
“เอาคืนข้ามานะวัลยาณี ไข่ใบนี้เป็นของข้า!!” มือเล็กๆ จับที่ไข่เอาไว้แน่นแล้วออกแรงดึง
“ข้าไม่ให้เจ้าหรอก วันๆ เอาแต่คลุกอยู่กับไอ้ไข่งี่เง่านี่” วัลยาณีพยายามดึงไข่กลับ
“อย่ามาว่าไข่ข้านะ!! ข้ามีสิทธิ์ว่าได้คนเดียว!” ดวงตาสีมรกตส่องแสงแวววับขึ้นมาขณะที่ยื้อยุดอย่างสุดกำลัง แต่แล้ววายุภัคก็เสียหลักล้มลง วัลยาณีที่ออกแรงดึงเต็มที่จึงผงะถอยหลังไปตามแรงจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ มือเล็กๆ นั่นไขว่คว้าอากาศเพื่อทรงตัว ปีกเล็กๆ ขยับอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถด้านทานแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีได้ ไข่ใบโตกระเด็นหลุดเข้าไปในประตูพร้อมๆ กับร่างของวัลยาณี
วายุภัคที่ล้มอยู่พุ่งตัวเข้าไปหาแล้วคว้ามือของวัลยาณีเอาไว้ได้ เขาออกแรงทั้งหมดดึงร่างของเพื่อนสาวขึ้นมา วัลยาณีเอ่ยขอบคุณหลังออกมาจากประตูบานนั้นได้ วายุภัคไม่ได้ยินคำขอบคุณนั้นเลยสักนิด เขายืนจ้องบานประตูอยู่ชั่วครู่ก่อนขยับปีกบางเบาบินกลับไปยังต้นไม้ที่จากมาด้วยความเร็วเท่าที่ปีกเล็กๆ คู่นั้นจะสามารถทำได้
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุ 36 ปีภูต วันนั้นเป็นวันแรกที่วายุภัคได้เห็นผู้เป็นมาตุเรศแสดงความโกรธออกมา ฝ่ามือเรียวสะบัดลงบนแก้มเนียนอย่างแรงจนบิตุรงค์ที่ปกติมักใจร้อนอยู่เสมอต้องเข้ามาห้าม
วายุภัคกุมแก้มเอาไว้ พลางเอ่ยปากร้องขอให้บุพการีทั้งสองช่วยเหลือทั้งน้ำตา เขาพร่ำเอ่ยคำขอโทษ และขอร้องอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจอมทัพและคู่ทางจิตวิญญาณมาถึง
“เจ้าจะช่วยอะไรได้วายุภัค?” องค์รานีเอ่ยถาม
“ให้ข้าไปตามหาไข่เถิดนะมาตุเรศ” วายุภัคกล่าวเว้าวอน
“ตามหารึ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้าใช้เวทย์ได้คล่องแคล่วแล้วอย่างนั้นรึ?”
“ข้าขอโทษนะวสุนธรา ข้าขอโทษจริงๆ…” องค์รานีทรุดตัวลงนั่ง หยาดน้ำตามากมายไหลรินออกมาจากดวงตาสีไพลิน ตัวนางเอกรักผู้เป็นบุตรยิ่งกว่าสิ่งใด การที่บุตรตนเองทำให้ผู้ที่เป็นเหมือนเพื่อนของตัวเองต้องสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดไปทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดเสียจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก
“ข้าจะรีบส่งภูตอำนวยพรลงไปตามหา ใจเย็นๆ ก่อนนะวสุนธรา ท่านจอมทัพ” องค์ราชาสัมผัสไหล่ผู้เป็นที่รักแผ่วเบาแล้วรีบบินออกไปสั่งการทันที
ภูตอำนวยพรทั้งหมดในแดนภูตถูกส่งลงไปตามหาไข่ที่ร่วงหล่นลงไปในโลกมนุษย์
ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามภูตตนหนึ่งก็กระหืดกระหอบเข้ามาหา แล้วเอ่ยบอกสิ่งที่ตนได้เห็นแก่ผู้ที่รอคอย
“ไข่ใบนั้นสลายไปแล้ว…” วสุนธรารู้สึกเจ็บปวดราวกับมีใครดึงหัวใจตนออกไปจากร่างกาย นางล้มลงไปบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“แต่บุตรของท่านยังดำรงอยู่ เพียงแต่ว่า...เขากลายเป็นเด็กมนุษย์ไปเสียแล้ว ข้าคิดว่าดวงจิตแห่งภูตคงจะถูกใช้เพื่อปกป้องไข่ใบนั้นเอาไว้ไม่ให้ได้รับอันตราย ตอนข้าไปถึงมีชายมนุษย์ผู้หนึ่งจูงเขาเข้าไปในที่พักอาศัย ข้าอยากพาเขากลับมาด้วย แต่ข้ารู้ดีว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ข้าทำได้เพียงบอกกล่าวนามของเขาแด่พวกท่านเท่านั้น นามของเขาคือ เอกภักดิ์ หมายถึง ความซื่อตรง ข้า… ข้าเสียใจด้วยท่านจอมทัพ ท่านวสุนธรา” ภูตหนุ่มเดินถอยหลังออกมายืนที่มุมห้อง จอมทัพโอบกอดวสุนธราเอาไว้แน่น ขณะที่ผู้เป็นองค์ราชาได้แต่ยืนดูภาพเหล่านั้นอยู่อย่างเงียบๆ
วายุภัคถูกองค์ราชาสั่งลงโทษกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในห้อง และให้ลดม่านใบไม้ลงเพื่อไม่ให้เห็นภาพภายนอก เป็นเวลา 10 ปีภูต ซึ่งถือเป็นโทษที่หนักที่สุดแล้วสำหรับภูตเด็กเฉกเช่นเขา วายุภัคไม่โต้แย้งหรือกล่าวอุทธรณ์แต่อย่างใด วายุภัคปฏิบัติตามคำสั่งขององค์ราชาทุกประการ สำนึกและจมจ่อมอยู่กับความผิดที่ตนกระทำ เขาไม่ได้กล่าวโทษวัลยาณีเลยแม้แต่น้อย ทุกๆ วันเขาจะเขียนจดหมายขอโทษแก่จอมทัพ และวสุนธราด้วยการคัดลอกลายมือจากพี่เลี้ยงที่นำอาหารเข้ามาให้อยู่ทุกวัน เขาบรรจงคัดลายมือที่สวยที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถคัดออกมาได้ และทำอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาเกือบ 5 ปีภูต
จนในที่สุดจอมทัพแห่งแดนภูต และวสุนธราต้องไปขอร้องให้องค์ราชาปล่อยวายุภัคผู้เป็นบุตร แต่ถึงกระนั้นวายุภัคก็กลายเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว และไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน คำแรกที่เขาเอ่ยออกมาหลังจากออกมาจากห้องของตนเองก็คือคำว่าขอโทษ วสุนธราสาวเท้าเข้าไปหาเด็กน้อยแล้วกอดเอาไว้แน่น
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่โทษเจ้าหรอกนะ ทำใจให้สบายเถิดองค์ชาย” วายุภัคร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดนั้นอย่างไม่อายใคร
กว่าที่วายุภัคจะกลับมาสดใสร่าเริงอย่างเดิมได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ เขามักจะไปเยี่ยมเยียนวสุนธราอยู่เสมอๆ บางครั้งก็พานางออกไปเดินชมธรรมชาติบ้าง แต่ที่แน่ๆ เขารู้สึกได้ว่าวัลยาณีตอนนี้ไม่เหมือนวัลยาณีที่เขาเคยรู้จักเมื่อ 5 ปีก่อน แต่จะแปลกอันใด ขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่ใช่วายุภัคในวันวานเช่นกัน
ท่ามกลางความมืดมิดเสียยิ่งกว่าราตรีกาล ความหนาวเหน็บมากมายที่เข้าเกาะกุม และภาพนิมิตที่ล้อมรอบกายส่งผลให้คนที่อยู่ภายในแทบไม่รับรู้ว่าสิ่งไหนคือเรื่องจริง หรือสิ่งไหนคือภาพลวงตา บางครั้งต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร่ำไห้ของมาตุเรศ หรือบางวันก็เห็นบิตุรงศ์ผู้เป็นองค์ราชาแห่งแดนภูตถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น
วันเวลานั้นก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บางคราวอาจรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเนินนานชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่บางครั้งกลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเพียงแค่ครึ่งลมหายใจ
ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในโลกที่มืดมิดวายุภัคพยายามดิ้นรนทุกวิธีทางเพื่อออกไปจากสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนเขาก็ยังคงตกอยู่ในโลกที่มืดดำเช่นเดิม
วายุภัคไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หรือพยายามไปมากเท่าไหร่ แต่ในที่สุดวายุภัคก็ยอมจำนนต่อสิ่งที่ต้องเผชิญในที่สุด เขานั่งลงแล้วเอาขาทับกันอย่างที่ท่านอาจารย์เคยสั่งสอน กำหนดดวงจิตให้ว่างและไม่ฟุ้งซ่านไปตามสิ่งที่อยู่รอบกาย แต่ก็เรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ขณะที่นั่งหลับตาอยู่นั้นห้วงขณะหนึ่งวายุภัคกลับได้ถึงหยาดน้ำอุ่นร้อนที่ไหลผ่านเรือนร่างของตนไป เขาหาได้เกรงกลัวต่อการดับสิ้นไม่ เพราะภูตทุกตนมักถูกสั่งสอนว่าการดับสิ้นไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด แต่สิ่งที่วายุภัคกลัวกลับเป็นการไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้งเสียมากกว่า
วายุภัคทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งๆ และรอให้วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างไร้จุดหมาย ความสิ้นหวังค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาทีละน้อย จนกระทั่งได้สัมผัสกับแสงสว่างเป็นครั้งแรก ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป
แสงนั้นไม่ได้สว่างจ้าเสียจนแสบตา ตรงกันข้ามมันกลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดยามจ้องมอง ขาเรียวผลุดลุกขึ้นพลางสาวเท้าเข้าไปหาแสงสีขาวนั้นอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วก็กลับไม่สามารถก้าวเท้าต่อไปได้ เพราะมือสีดำมากมายที่ดึงรั้งขาทั้งสองข้างเอาไว้ เสียงสบถสาปแช่งดังก้องไปทั่วจนวายุภัคต้องยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองจนแน่น ไม่นานนักแสงนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนหายไปจากสายตา
ร่างเล็กยืนนิ่งงันไปชั่วครู่ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเหล่าดวงจิตที่กำลังชี้หน้าด่าทออยู่ เขาส่งยิ้มกว้างราวกับได้รับคำชื่นชม ทรุดตัวลงตรงท่ามกลางวงล้อมของดวงจิตสีดำ ขยับกายให้อยู่ในท่าที่สบายแล้วเริ่มเอื้อนเอ่ยถ้อยวจีเพื่อเล่าขานถึงเรื่องราวและถิ่นกำเนิดของตน จอมจ่มอยู่ในห้วงเวลาแสนสุขในวัยเยาว์อีกครา
ดินแดนแห่งภูตรานั้นถือกำเนิดขึ้นจากดวงจิตแห่งธรรมชาติ และดวงจิตแห่งธรรมชาตินี้เองที่ก่อกำเนิดภูตยุคแรกๆ ขึ้น ดินแดนแห่งธรรมชาตินี้ก่อกำเนิดมายาวนานนับพันนับหมื่นปีภูต วัฒนธรรมและศิลปะจากธรรมชาติทั้งการแกะสลักไม้ หรือการทำสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มีความงดงามและอ่อนช้อยแสดงถึงความเป็นตัวตนของพวกภูตได้เป็นอย่างดี และเพราะอยู่อาศัยกับธรรมชาติมาเนิ่นนาน ภูตจึงชำนาญในการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์และสามารถสื่อสารกับธรรมชาติได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดินแดนภูตประกอบไปด้วยฤดูทั้งสิ้น 4 ฤดู เริ่มจากวสันต์ฤดู เหล่าสัตว์ทั้งหลายตื่นจากการจำศีล ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มผลิใบอ่อนออกมาให้ชื่นชมจนเขียวขจีไปทั้งดินแดน จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่คิมหันต์ฤดู ในฤดูนี้จะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าฤดูอื่นๆ หมู่มวลดอกไม้ทั้งหลายพากันผลิบานสร้างสีสันละลานตาแข่งกันประกาศศักดาความงามของตน เมื่อคิมหันต์ฤดูผ่านพ้นจึงจะเข้าสู่สารทฤดู ใบไม้ทั้งหลายพากันเปลี่ยนสีและร่วงหล่นจากต้น ฤดูนี้มีการเฉลิมฉลองกันด้วยผลผลิตที่เก็บมาได้จากฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวนี้ และยังถือว่าเป็นฤดูหนึ่งที่งดงามมากที่สุดในแดนภูตก็ว่าได้ ส่วนฤดูสุดท้ายของปี คือ เหมันต์ฤดู ฤดูนี้ไม่สามารถปลูกพืชผลใดๆ ได้ และมีเกล็ดน้ำแข็งร่วงหล่นจากฟากฟ้า พวกภูตจำต้องดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยเฉพาะปีกของตนเอง แต่ถึงกระนั้นพวกภูตเด็กๆ ก็ชอบออกมาวิ่งและบินเล่นนอกบ้านจนพวกผู้ใหญ่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน ในหนึ่งปีภูตฤดูต่างๆ จะผ่านพ้นไปทุกๆ 3 เดือน โดยผู้ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนผ่านฤดู คือ เหล่าภูตที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ได้แก่ ภูตวสันต์ ภูตคิมหันต์ ภูตสารท และภูตเหมันต์ และพวกภูตจะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นทุกครั้งที่ทำพิธีเปลี่ยนผ่านแต่ละฤดู
ดินแดนภูตถูกปกครองโดยองค์ราชา และองค์รานีผู้เป็นใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในแดนภูต ถึงกระนั้นกลับไม่มีคำว่าชนชั้นหรือวรรณะใดๆ มาเป็นตัวขัดขวางการสร้างสัมพันธ์ต่อกันได้ เนื่องจากในแดนภูตนั้นถือว่าภูตทุกตนล้วนมีคุณค่าภายในตนทั้งสิ้น อีกทั้งยังก่อกำเนิดจากธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกันและเมื่อดับสิ้นลงก็ต้องกลับไปรวมกับธรรมชาติอีกครั้งอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ภูตในแดนภูตจึงสื่อสารกันด้วยภาษาเพียงระดับเดียว โดยภูตแต่ละตนมักจะให้เกียรติซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องการตรากฎใดๆ ขึ้นมาให้วุ่นวาย แม้กระทั่งผู้มีตำแหน่งสูงส่งก็มักจะมีการเรียกชื่อตำแหน่งแทนนามโดยตรงเพื่อความสะดวกและให้เกียรติเพียงเท่านั้น
องค์ราชา และองค์รานีทุกรุ่นมักจะทำพิธีบรมราชาภิเษกหลังจากที่ผู้สืบเชื้อสายก่อกำเนิดบุตรหรือบุตรี ดังนั้นหลังจากที่วายุภัคถือกำเนิดขึ้น บิตุเรศที่เป็นภูตคิมหันต์จึงกลายมาเป็นองค์ราชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมาตุเรศเป็นบุตรีขององค์ราชาองค์ก่อน
ดังนั้นตั้งแต่จำความได้วายุภัคก็วิ่งเล่นและหลับนอนอยู่แต่ในต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใจกลางของดินแดนเสียจนเคยชิน แต่ถึงจะเป็นถึงบุตรแห่งองค์ราชา วายุภัคกลับไม่ได้เป็นภูตที่มีพลังอะไรมากมายนักเพราะถือกำเนิดเป็นไข่เพียงแค่วันเดียวก็ได้รับการขานนามเสียแล้ว ต่างจากไข่ใบโตที่อยู่ข้างกายมาตั้งแต่จำความได้ ถึงแม้ว่าจะกำเนิดมาก่อนเขาถึง 84 ปีภูต แต่กลับไม่มีวี่แววว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านในจะยอมออกมารับการขานนามเสียที จนวายุภัคแอบเรียกเจ้าไข่ใบนั้นว่าเจ้าไข่ขี้เกียจ เจ้าไข่ขี้เกียจที่ว่านี้มีเปลือกสีขาวเกือบทั้งใบเฉกเช่นไข่ของภูตทั่วๆ ไป แต่บริเวณกลางใบกลับมือรอยวงแหวนสีน้ำตาลอมเหลืองราวกับมีใครตั้งใจทำเอาไว้
ในตอนนั้นวายุภัคหาได้สนใจคำที่มาตุเรศกล่าวว่าภูตที่อยู่ในไข่ใบนี้เป็นคู่ทางจิตวิญญาณของเขาไม่ เขาแค่ชอบพกไข่ใบโตไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เพราะมันทำให้เขาอบอุ่นได้โดยเฉพาะในช่วงเหมันต์ฤดู ขอเพียงแค่ท่านวสุนธราไม่ว่ากล่าวเขาเท่านั้นก็พอ ดังนั้นถึงแม้ว่าบิตุรงค์จะว่ากล่าวตักเตือนสักเพียงใด แต่เขาก็จะแอบหนีบไข่ไปนั้นไปเที่ยวเล่นได้อยู่ดี
และด้วยความที่เป็นบุตรแห่งองค์ราชานี่เองจึงทำให้วายุภัคมีเพื่อนอยู่ไม่ค่อยมากเท่าไหร่นัก เขามักจะโดนพี่เลี้ยงสาวกักตัวให้อยู่เสียแต่ในต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเพื่อนที่เจ้าตัวคุ้นเคยมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นวัลยาณี ภูตสาวที่มีนัยต์ตาสีทับทิม เรือนผมของเธอเป็นสีแดงเช่นเดียวกับดวงตาตัดกับดวงหน้าขาวอมชมพู ใบหน้าเรียวได้รูปและริมฝีปากเล็กๆ คู่นั้นมักเอ่ยออดอ้อนเขาอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุเพราะวัลยาณีเป็นบุตรีของท่านปักษธรผู้เป็นน้องของมาตุเรศจึงทำให้มีโอกาสได้พบเจอกันอยู่บ่อยๆ ไม่นานวัลยาณีที่ถือกำเนิดในเวลาไล่เลี่ยกันก็เกาะติดวายุภัคแจ
“วายุภัคนั่นเจ้าจะไปไหน รอข้าด้วยสิ” สาวน้อยตะโกนเสียเสียงดังจนคนที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ริมหน้าต่างรีบหันหน้ากลับมาทำหน้าตาดุใส่ พลางยกนิ้วป้อมๆ จรดที่ริมฝีปาก ภูตน้อยยกนิ้วขึ้นเลียนแบบบ้าง
“เบาๆ สิ ถ้าข้าโดนพี่เลี้ยงจับได้ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าอีก ถ้าอยากไปด้วยก็ตามมา… เงียบๆ ล่ะ” สองมือดึงรั้งผ้าอีกครั้งจนมั่นใจแล้วโผบินออกนอกหน้าต่าง วัลยาณีไม่รอช้ารีบกระโดดตามออกไปทันที ผมสีเพลิงยกศกสยายออกล้อสายลมเล่นขณะเร่งความเร็วตามอีกฝ่าย
“นี่เจ้าเอาไข่นี่ติดตัวมาอีกแล้วเหรอ เล่นอะไรก็ไม่เห็นได้เลย” วัลยาณีเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นไข่ใบโตที่ถูกผูกติดเอาไว้บริเวณลำตัว
“มาตุเรศบอกข้าว่าไข่ใบนี้เป็นคู่ทางจิตวิญญาณของข้านะ ข้าต้องพาออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ ขืนออกมาจากไข่แล้วซื่อบื่อเหมือนเจ้าข้าก็แย่นะสิ” วายุภัคว่าพลางใช้มือลูบคลำไข่ไปมา ไม่สนสายตาคนที่พาดพิงถึงเลยแม้สักนิด
“ข้ามีที่ที่หนึ่งที่อยากให้เจ้าไปเห็น ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสนุกแน่ๆ” วายุภัคเงยหน้าขึ้นมองภูตตัวเล็กแล้วพยักหน้าให้
“เอาสิ เจ้านำไปเลย เดี๋ยวข้าจะตามไปติดๆ” พูดจบภูตสาวก็เร่งความเร็วขึ้น เพียงชั่วครู่ทั้งคู่ก็เข้ามาอยู่ในห้องขนาดใหญ่ หลังจากวัลยาณีใช้กิ่งไม้ดันหมุดตรึงม่านใบไม้ออก รอบห้องเต็มไปด้วยตำรามากมาย อุปกรณ์ถูกวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ ประตูไม้บานใหญ่ที่ด้านหน้าถูกปิดสนิท จึงมีเพียงแสงที่เล็ดลอดเข้ามาจากทางที่ทั้งคู่เข้ามาเท่านั้น
วัลยาณีเดินนำหน้าพลางกวักมือเรียกวายุภัคให้เดินตามไป ที่ด้านในสุดของห้องมีประตูไม้ถูกสลักลวดลายงดงาม แต่ละบานมีอักขระมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคนเขียน เสียดายเพียงแต่ว่าเขาอ่านไม่ออกก็เท่านั้น
ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรต่อวัลยาณีก็ใช้แรงทั้งหมดผลักบานประตูจนมันค่อยๆ เปิดออก แสงที่ออกมาจากประตูบานนั้นสว่างจ้าจนภูตทั้งสองต้องยกมือขึ้นบัง ก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆ ลดความสว่างลง จนกระทั่งทุกอนูในห้องถูกอาบไล้ไปด้วยลำแสงสีนวลตา วายุภัคจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
“นี่มันคือประตูอะไรงั้นรึ แสงนี่มันช่างสวยเหลือเกิน ข้าเดินเข้าไปได้ไหม”
“ไม่ได้นะ! ประตูนี้คือประตูแห่งกาลเวลาที่นำพาภูตไปสู่แดนมนุษย์ เจ้าสามารถข้ามผ่านไปได้ง่ายดายนัก แต่การที่เจ้าจะกลับมาได้นั้นจำเป็นจะต้องมีกุญแจ”
“ข้าอยากไปเที่ยวโลกมนุษย์นี่ เจ้าหากุญแจให้ข้าหน่อยได้ไหม ข้าจะพาไข่ของข้าไปเที่ยว”
“คงไม่ได้หรอก ข้าหาใช่ภูตอำนวยพรไม่ แล้วทำไมเจ้าถึงต้องเอาไอ้ไข่ไปนี้ไปแทนที่จะเป็นข้าเล่า ส่งไข่ของเจ้ามานี่นะ” พูดยังไม่ทันจบวัลยาณีก็ช่วงชิงไข่เอามาถือไว้โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว วายุภัคที่ห่วงไข่ใบนี้เสียยิ่งกว่าจงอ่างท้องแรกก็ใช้มือป้อมๆ ไขว่คว้าพยายามแย่งชิงไข่กลับคืน
“เอาคืนข้ามานะวัลยาณี ไข่ใบนี้เป็นของข้า!!” มือเล็กๆ จับที่ไข่เอาไว้แน่นแล้วออกแรงดึง
“ข้าไม่ให้เจ้าหรอก วันๆ เอาแต่คลุกอยู่กับไอ้ไข่งี่เง่านี่” วัลยาณีพยายามดึงไข่กลับ
“อย่ามาว่าไข่ข้านะ!! ข้ามีสิทธิ์ว่าได้คนเดียว!” ดวงตาสีมรกตส่องแสงแวววับขึ้นมาขณะที่ยื้อยุดอย่างสุดกำลัง แต่แล้ววายุภัคก็เสียหลักล้มลง วัลยาณีที่ออกแรงดึงเต็มที่จึงผงะถอยหลังไปตามแรงจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ มือเล็กๆ นั่นไขว่คว้าอากาศเพื่อทรงตัว ปีกเล็กๆ ขยับอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถด้านทานแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีได้ ไข่ใบโตกระเด็นหลุดเข้าไปในประตูพร้อมๆ กับร่างของวัลยาณี
วายุภัคที่ล้มอยู่พุ่งตัวเข้าไปหาแล้วคว้ามือของวัลยาณีเอาไว้ได้ เขาออกแรงทั้งหมดดึงร่างของเพื่อนสาวขึ้นมา วัลยาณีเอ่ยขอบคุณหลังออกมาจากประตูบานนั้นได้ วายุภัคไม่ได้ยินคำขอบคุณนั้นเลยสักนิด เขายืนจ้องบานประตูอยู่ชั่วครู่ก่อนขยับปีกบางเบาบินกลับไปยังต้นไม้ที่จากมาด้วยความเร็วเท่าที่ปีกเล็กๆ คู่นั้นจะสามารถทำได้
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุ 36 ปีภูต วันนั้นเป็นวันแรกที่วายุภัคได้เห็นผู้เป็นมาตุเรศแสดงความโกรธออกมา ฝ่ามือเรียวสะบัดลงบนแก้มเนียนอย่างแรงจนบิตุรงค์ที่ปกติมักใจร้อนอยู่เสมอต้องเข้ามาห้าม
วายุภัคกุมแก้มเอาไว้ พลางเอ่ยปากร้องขอให้บุพการีทั้งสองช่วยเหลือทั้งน้ำตา เขาพร่ำเอ่ยคำขอโทษ และขอร้องอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจอมทัพและคู่ทางจิตวิญญาณมาถึง
“เจ้าจะช่วยอะไรได้วายุภัค?” องค์รานีเอ่ยถาม
“ให้ข้าไปตามหาไข่เถิดนะมาตุเรศ” วายุภัคกล่าวเว้าวอน
“ตามหารึ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้าใช้เวทย์ได้คล่องแคล่วแล้วอย่างนั้นรึ?”
“ข้าขอโทษนะวสุนธรา ข้าขอโทษจริงๆ…” องค์รานีทรุดตัวลงนั่ง หยาดน้ำตามากมายไหลรินออกมาจากดวงตาสีไพลิน ตัวนางเอกรักผู้เป็นบุตรยิ่งกว่าสิ่งใด การที่บุตรตนเองทำให้ผู้ที่เป็นเหมือนเพื่อนของตัวเองต้องสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดไปทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดเสียจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก
“ข้าจะรีบส่งภูตอำนวยพรลงไปตามหา ใจเย็นๆ ก่อนนะวสุนธรา ท่านจอมทัพ” องค์ราชาสัมผัสไหล่ผู้เป็นที่รักแผ่วเบาแล้วรีบบินออกไปสั่งการทันที
ภูตอำนวยพรทั้งหมดในแดนภูตถูกส่งลงไปตามหาไข่ที่ร่วงหล่นลงไปในโลกมนุษย์
ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามภูตตนหนึ่งก็กระหืดกระหอบเข้ามาหา แล้วเอ่ยบอกสิ่งที่ตนได้เห็นแก่ผู้ที่รอคอย
“ไข่ใบนั้นสลายไปแล้ว…” วสุนธรารู้สึกเจ็บปวดราวกับมีใครดึงหัวใจตนออกไปจากร่างกาย นางล้มลงไปบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“แต่บุตรของท่านยังดำรงอยู่ เพียงแต่ว่า...เขากลายเป็นเด็กมนุษย์ไปเสียแล้ว ข้าคิดว่าดวงจิตแห่งภูตคงจะถูกใช้เพื่อปกป้องไข่ใบนั้นเอาไว้ไม่ให้ได้รับอันตราย ตอนข้าไปถึงมีชายมนุษย์ผู้หนึ่งจูงเขาเข้าไปในที่พักอาศัย ข้าอยากพาเขากลับมาด้วย แต่ข้ารู้ดีว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ข้าทำได้เพียงบอกกล่าวนามของเขาแด่พวกท่านเท่านั้น นามของเขาคือ เอกภักดิ์ หมายถึง ความซื่อตรง ข้า… ข้าเสียใจด้วยท่านจอมทัพ ท่านวสุนธรา” ภูตหนุ่มเดินถอยหลังออกมายืนที่มุมห้อง จอมทัพโอบกอดวสุนธราเอาไว้แน่น ขณะที่ผู้เป็นองค์ราชาได้แต่ยืนดูภาพเหล่านั้นอยู่อย่างเงียบๆ
วายุภัคถูกองค์ราชาสั่งลงโทษกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในห้อง และให้ลดม่านใบไม้ลงเพื่อไม่ให้เห็นภาพภายนอก เป็นเวลา 10 ปีภูต ซึ่งถือเป็นโทษที่หนักที่สุดแล้วสำหรับภูตเด็กเฉกเช่นเขา วายุภัคไม่โต้แย้งหรือกล่าวอุทธรณ์แต่อย่างใด วายุภัคปฏิบัติตามคำสั่งขององค์ราชาทุกประการ สำนึกและจมจ่อมอยู่กับความผิดที่ตนกระทำ เขาไม่ได้กล่าวโทษวัลยาณีเลยแม้แต่น้อย ทุกๆ วันเขาจะเขียนจดหมายขอโทษแก่จอมทัพ และวสุนธราด้วยการคัดลอกลายมือจากพี่เลี้ยงที่นำอาหารเข้ามาให้อยู่ทุกวัน เขาบรรจงคัดลายมือที่สวยที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถคัดออกมาได้ และทำอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาเกือบ 5 ปีภูต
จนในที่สุดจอมทัพแห่งแดนภูต และวสุนธราต้องไปขอร้องให้องค์ราชาปล่อยวายุภัคผู้เป็นบุตร แต่ถึงกระนั้นวายุภัคก็กลายเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว และไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน คำแรกที่เขาเอ่ยออกมาหลังจากออกมาจากห้องของตนเองก็คือคำว่าขอโทษ วสุนธราสาวเท้าเข้าไปหาเด็กน้อยแล้วกอดเอาไว้แน่น
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่โทษเจ้าหรอกนะ ทำใจให้สบายเถิดองค์ชาย” วายุภัคร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดนั้นอย่างไม่อายใคร
กว่าที่วายุภัคจะกลับมาสดใสร่าเริงอย่างเดิมได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ เขามักจะไปเยี่ยมเยียนวสุนธราอยู่เสมอๆ บางครั้งก็พานางออกไปเดินชมธรรมชาติบ้าง แต่ที่แน่ๆ เขารู้สึกได้ว่าวัลยาณีตอนนี้ไม่เหมือนวัลยาณีที่เขาเคยรู้จักเมื่อ 5 ปีก่อน แต่จะแปลกอันใด ขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่ใช่วายุภัคในวันวานเช่นกัน
แก้ไขล่าสุดโดย เลื่อมประภัสสร เมื่อ Tue May 13, 2014 9:59 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 10
หลังจากที่วายุภัคจากไป วัลยาณีก็รีบบินหนีออกมาจากห้องโดยปล่อยให้ประตูแห่งกาลเวลาเปิดค้างเอาไว้อย่างนั้น เธอเห็นภูตที่มีกุญแจสีเงินแวววาวห้อยติดอยู่กับข้อมือด้านซ้ายบ่งบอกความเป็นภูตอำนวยพรบินกรูกันเข้าไปในประตูบานโต เธอนั่งมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งประตูบานนั้นถูกปิดลงอีกครั้ง แสงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าขณะที่เธอย่างเท้าเข้าไปในต้นไม้ต้นเล็กๆ
“กลับมาแล้วรึวัลยาณี” ทันทีที่ได้ยินเสียงแข็งๆ และเห็นใบหน้าบึ้งตึงของผู้เป็นมาตุเรศ วัลยาณีก็ผงะถอยหลังไป พยายามมองหาบิตุรงค์ แทนที่จะเป็นกิ่งไม้เรียวที่อยู่ในมือ
“ขะ…ข้ากลับมาแล้วมาตุเรศ” ปักษธรสาวเท้าเข้ามาหา พลางเอ่ยถามเด็กน้อยว่ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดผิดไป วัลยาณีส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“เจ้าแน่ใจอย่างนั้นรึวัลยาณี ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะปฏิเสธว่าประตูแห่งกาลเวลาไม่ได้เปิดออกเพราะฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่” กิ่งไม้แหวกผ่านอากาศไปมาอยู่รอบๆ เด็กสาวย่นคอลงโดยอัตโนมัติ แล้วตอบปฏิเสธออกไปอีกครั้ง เพราะเธอมั่นใจว่าวายุภัคไม่มีทางที่จะป้ายความผิดมาให้เธออย่างเด็ดขาด ถึงแม้วายุภัคจะขี้เล่น และอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ง่าย แต่เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น วายุภัคก็มักจะยอมรับผิดแทนเธออยู่เสมอ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอแอบรักเพื่อนตนนี้ของเธอ
“ข้าไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นคนโป้ปด เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยคำโป้ปดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้วัลยาณี เห็นทีถ้าข้าไม่ลงโทษเจ้าให้หลาบจำ เจ้าคงจะมีนิสัยเช่นนี้ติดตัวไปแน่ และข้าจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด” ปักษธรคว้าร่างของบุตรีเข้ามาหาใกล้แล้วปล่อยให้ไม้ในมือทำหน้าที่สั่งสอนแทนตน
เด็กสาวกรีดร้องแลร่ำไห้ด้วยน้ำตานองหน้า พลางเอ่ยถามเสียงแข็ง
“วายุภัคบอกท่านหรือว่าข้าเป็นคนทำ? ข้าหาได้ทำไม่”
“เจ้าควรจะโทษตัวเองแทนที่จะไปกล่าวโทษผู้อื่นนะวัลยาณี เพียงแค่เจ้าพูดความจริงออกมาแล้วข้าจะหยุด” เด็กสาวเม้มปากเน้นขณะที่โดนไม้เรียวกระทบที่บั้นท้ายอีกครา ขณะที่ตัดสินใจอยู่นั้นบานประตูเล็กๆ ก็เปิดออก
วัลยาณีใช้แรงเฮือกสุดท้ายประกอบกับความสนใจของผู้ลงทัณฑ์ตนถูกหันเหออกไปดึงสามารถดึงตนเองให้พ้นจากการลงทัณฑ์ได้ เธอหันไปมองมาตุเรศด้วยดวงตาวาวโรจน์ แล้ววิ่งผ่านบิตุรงค์ที่ยืนอยู่หน้าบานประตูออกไป
“ปล่อยข้านะเจตนิพัทธ์!!” ปักษธรส่งเสียงร้องขณะพยายามตามหลังบุตรีออกไป แต่กลับไม่สามารถทำได้อย่างใจนึก
“เจ้าไม่เรียกข้าว่าท่านพี่อีกแล้วนะ เมื่อครู่เจ้าลงโทษบุตรีของข้าอย่างหนักหน่วง เห็นทีข้าคงต้องลงโทษเจ้าให้หลาบจำเสียบ้างแล้ว” ภูตหนุ่มกักคนรักเอาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง
“ทะ...ท่านพี่ ข้าเรียกแล้วไง ปล่อยข้านะ ข้าจะไปตามวัลยาณี” เจตนิพัทธ์ยักไหล่อย่างไม่หยี่ระต่อแรงขัดขืนในอ้อมกอด สาเหตุหนึ่งที่เขาทำเช่นนี้เพราะรู้ว่าดินแดนภูตแห่งนี้ปลอดภัยเพียงใด และเรื่องราวทำนองนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาก็ต้องสวมบทบาทเป็นผู้ห้ามปรามระหว่างสองฝ่ายทุกครั้งไป
“เรื่องอะไรล่ะ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตามไปตีนางอีกหรอกนะ ปล่อยให้นางทบทวนความผิดด้วยตัวของนางเองเถิด ไม่นานเดี๋ยวนางก็กลับมา แล้วเจ้าเองก็ควรจะสงบจิตสงบใจของเจ้าลงบ้างเป็นถึงอาจารย์แห่งหอกาลเวลามิใช่หรือไร ไยทำตัวเป็นเด็กโดนแย่งของเล่นไปได้เล่า”
“นี่เจ้าว่าข้าอย่างนั้นรึ คอยดูเถิดข้าจะไปฟ้องท่านพี่ให้ลงโทษเจ้า” นิ้วเรียวชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ
“ก็เอาสิ แต่หลังจากที่ข้าลงโทษเจ้าแล้วนะ ถ้าเจ้ายังมีแรงเหลือไปฟ้องท่านพี่ของเจ้าข้าจะไม่ห้ามปรามแม้สักคำ” เจตนิพัทธ์ช้อนตัวปักษธรเข้าไปในห้องที่ใช้พักผ่อนในยามค่ำคืน มือแกร่งใช้ไม้ขัดประตูเอาไว้จนแน่น ก่อนจะเดินย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อที่ไร้หนทางหลีกหนี
วัลยาณีบินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายหลังจากวิ่งหนีมาตุเรศออกมา เธอไม่อยากก้าวเดินแม้เพียงสักก้าว เพราะยามที่ฝ่าเท้าสัมผัสผืนดินความปวดร้าวบริเวณบั้นท้ายก็แล่นปราบขึ้นมา เธอบินไปตามเส้นทางที่มืดมิดแทนที่จะเป็นเส้นทางที่มีแสงสว่างเพียงเพราะไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา
บินไปได้สักพักเธอก็เลือกที่จะใช้แผ่นหลังพิงต้นไม้เป็นการหยุดพัก ขณะที่คอยระวังไม่ให้บั้นท้ายสัมผัสกับลำต้น หยาดน้ำตายังคงไหลรินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอทั้งโกรธและโมโหที่มาตุเรศไม่เชื่อเธอ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็โกรธตัวเองที่ไม่กล้ายอมรับอย่างสง่าผ่าเผย ถ้าเพียงแค่มาตุเรศของเธอเหมือนกับองค์รานีผู้เป็นพี่มากขึ้นอีกสักหน่อย เธอคงจะมีความกล้ามากกว่านี้ วัลยาณีได้แต่ยืนร้องไห้โดยไร้เสียงสะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน เธอทำเพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านใบหน้าไปเท่านั้น
“สาวน้อย ทำไมเจ้าถึงมาร้องไห้อยู่อย่างนี้เล่า?” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบดังผ่านความมืดขึ้นมา วัลยาณีรีบยกมือปาดน้ำตาทิ้งแล้วหยุดร้องไห้แทบจะทันที เธอไม่ชอบให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอ
“เจ้าเป็นใครกัน ขะ...ข้าไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย ตาของเจ้าคงจะฝ้าฟาง หรือไม่หูของเจ้าก็คงได้ยินผิดเพี้ยนเสียแล้วกระมัง” วัลยาณีเอ่ยเสียขุ่น ขณะมองหาที่มาของเสียงดังกล่าว
“ข้าอยู่ด้านล่างนี่ไงสาวน้อย ลงมาหาข้าสิ” เด็กน้อยขยับปีกเล็กๆ เพื่อพาตนเองลงมาจากต้นไม้ใหญ่ จึงเห็นเจ้างูเห่าตัวใหญ่เข้า เกล็ดของมันเป็นสีดำขลับตลอดทั้งร่าง นัยต์ตาสีเขียวเปล่งประกายแวววับเมื่อเธอขยับเข้าไปใกล้
“ใครทำอันใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจอย่างนั้นรึ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?” วัลยาณีที่ไม่เคยเห็นสัตว์พูดได้มาก่อนก็พยักหน้ารับ แล้วเล่าเรื่องราวให้เพื่อนใหม่ของตนฟัง
“เจ้าไม่คิดว่าเพื่อนของเจ้าเป็นคนฟ้องมาตุเรศของเจ้าบ้างรึสาวน้อย?” เจ้างูเห่าว่าพลางโบกหางไปมา
“ไม่มีทางหรอก วายุภัคเป็นภูตที่ดีและไม่มีวันกล่าวหาข้าเป็นอันขาด!” เด็กสาวตอบอย่างมาดมั่น
“จิตใจเป็นสิ่งที่ยากแท้จะหยั่งมิใช่หรือสาวน้อย มิเช่นนั้นเหตุใดเขาถึงสนใจไข่งี่เง่ามากกว่าสาวสวยอย่างเจ้าได้เล่า?” เจ้างูเห่าหรี่ตาสีเขียวของมันลง พลางแลบลิ้นสองแฉกฉกอากาศ
“เลิกเรียกข้าว่าสาวน้อยสักที ข้าไม่ชอบ วัลยาณีคือนามของข้า” ใบหน้าบูดบึ้งแสดงถึงความไม่พอใจอย่างเด่นชัด
“วัลยาณีอย่างนั้นรึ ช่างไพเราะยิ่งนัก ข้ามีนามว่าพยับหมอก ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ... ไปดื่มน้ำที่รังของข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยู่แถวนี้มานานแต่ไม่ยักมีใครผ่านมา เจ้าจะช่วยเป็นเพื่อนคุยกับข้าได้หรือไม่วัลยาณี” เด็กน้อยนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนตอบรับคำชวนนั้น พยับหมอกโบกหางเบาๆ ในอากาศเพียงสองสามที ลูกไฟดวงเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นตามรายทาง ลึกเข้าไปด้านในของป่า
“คราวหลังหากเจ้าอยากมาเยี่ยมข้าอีก เพียงแต่ตั้งดวงจิตนึกถึงข้า พงไพรจะนำทางเจ้ามาหาข้าเอง ที่สำคัญข้าสามารถจะปรากฎตัวได้หลังแสงตะวันลาลับแล้วเท่านั้น เจ้าคงไม่กลัวความมืดใช่หรือไม่” วัลยาณีตอบกลับอย่างฉุนๆ เมื่อรู้สึกว่าตนเองโดนดูถูกว่ากลัวความมืดมิด เจ้างูเห่าเอ่ยขอโทษแล้วส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ
วัลยาณีจากไปแล้ว จอกใสทรงสูงหลงเหลือหยาดน้ำสีแดงอยู่ด้านในอีกเล็กน้อย เจ้างูเห่าใช้ลิ้นเล็กๆ ไล้เลียขอบแก้วอย่างเชื่องช้า แล้วพลิกตัวเลื้อยเข้าไปด้านในห้อง มันใช้หางพันรอบก้านจอกอีกใบที่ใส่น้ำสีแดงเอาไว้จนเกือบเต็ม ยกจรดริมฝีปากแล้วดื่มกินทีละนิดจนหมด
“แล้วเจ้าจะต้องกลับมาหาข้า... ข้าจะรอ... วัลยาณี”
น้องคอมเอ๋อไปแล้วค่ะ ส่งไปซ่อมอยู่ นี่แอบจิ๊กคอมแม่มาใช้ค่ะ แหะๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงน้องภูตเล่าเรื่องเสียเป็นส่วนใหญ่ค่ะ
“กลับมาแล้วรึวัลยาณี” ทันทีที่ได้ยินเสียงแข็งๆ และเห็นใบหน้าบึ้งตึงของผู้เป็นมาตุเรศ วัลยาณีก็ผงะถอยหลังไป พยายามมองหาบิตุรงค์ แทนที่จะเป็นกิ่งไม้เรียวที่อยู่ในมือ
“ขะ…ข้ากลับมาแล้วมาตุเรศ” ปักษธรสาวเท้าเข้ามาหา พลางเอ่ยถามเด็กน้อยว่ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดผิดไป วัลยาณีส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“เจ้าแน่ใจอย่างนั้นรึวัลยาณี ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะปฏิเสธว่าประตูแห่งกาลเวลาไม่ได้เปิดออกเพราะฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่” กิ่งไม้แหวกผ่านอากาศไปมาอยู่รอบๆ เด็กสาวย่นคอลงโดยอัตโนมัติ แล้วตอบปฏิเสธออกไปอีกครั้ง เพราะเธอมั่นใจว่าวายุภัคไม่มีทางที่จะป้ายความผิดมาให้เธออย่างเด็ดขาด ถึงแม้วายุภัคจะขี้เล่น และอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ง่าย แต่เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น วายุภัคก็มักจะยอมรับผิดแทนเธออยู่เสมอ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอแอบรักเพื่อนตนนี้ของเธอ
“ข้าไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นคนโป้ปด เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยคำโป้ปดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้วัลยาณี เห็นทีถ้าข้าไม่ลงโทษเจ้าให้หลาบจำ เจ้าคงจะมีนิสัยเช่นนี้ติดตัวไปแน่ และข้าจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด” ปักษธรคว้าร่างของบุตรีเข้ามาหาใกล้แล้วปล่อยให้ไม้ในมือทำหน้าที่สั่งสอนแทนตน
เด็กสาวกรีดร้องแลร่ำไห้ด้วยน้ำตานองหน้า พลางเอ่ยถามเสียงแข็ง
“วายุภัคบอกท่านหรือว่าข้าเป็นคนทำ? ข้าหาได้ทำไม่”
“เจ้าควรจะโทษตัวเองแทนที่จะไปกล่าวโทษผู้อื่นนะวัลยาณี เพียงแค่เจ้าพูดความจริงออกมาแล้วข้าจะหยุด” เด็กสาวเม้มปากเน้นขณะที่โดนไม้เรียวกระทบที่บั้นท้ายอีกครา ขณะที่ตัดสินใจอยู่นั้นบานประตูเล็กๆ ก็เปิดออก
วัลยาณีใช้แรงเฮือกสุดท้ายประกอบกับความสนใจของผู้ลงทัณฑ์ตนถูกหันเหออกไปดึงสามารถดึงตนเองให้พ้นจากการลงทัณฑ์ได้ เธอหันไปมองมาตุเรศด้วยดวงตาวาวโรจน์ แล้ววิ่งผ่านบิตุรงค์ที่ยืนอยู่หน้าบานประตูออกไป
“ปล่อยข้านะเจตนิพัทธ์!!” ปักษธรส่งเสียงร้องขณะพยายามตามหลังบุตรีออกไป แต่กลับไม่สามารถทำได้อย่างใจนึก
“เจ้าไม่เรียกข้าว่าท่านพี่อีกแล้วนะ เมื่อครู่เจ้าลงโทษบุตรีของข้าอย่างหนักหน่วง เห็นทีข้าคงต้องลงโทษเจ้าให้หลาบจำเสียบ้างแล้ว” ภูตหนุ่มกักคนรักเอาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง
“ทะ...ท่านพี่ ข้าเรียกแล้วไง ปล่อยข้านะ ข้าจะไปตามวัลยาณี” เจตนิพัทธ์ยักไหล่อย่างไม่หยี่ระต่อแรงขัดขืนในอ้อมกอด สาเหตุหนึ่งที่เขาทำเช่นนี้เพราะรู้ว่าดินแดนภูตแห่งนี้ปลอดภัยเพียงใด และเรื่องราวทำนองนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาก็ต้องสวมบทบาทเป็นผู้ห้ามปรามระหว่างสองฝ่ายทุกครั้งไป
“เรื่องอะไรล่ะ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตามไปตีนางอีกหรอกนะ ปล่อยให้นางทบทวนความผิดด้วยตัวของนางเองเถิด ไม่นานเดี๋ยวนางก็กลับมา แล้วเจ้าเองก็ควรจะสงบจิตสงบใจของเจ้าลงบ้างเป็นถึงอาจารย์แห่งหอกาลเวลามิใช่หรือไร ไยทำตัวเป็นเด็กโดนแย่งของเล่นไปได้เล่า”
“นี่เจ้าว่าข้าอย่างนั้นรึ คอยดูเถิดข้าจะไปฟ้องท่านพี่ให้ลงโทษเจ้า” นิ้วเรียวชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ
“ก็เอาสิ แต่หลังจากที่ข้าลงโทษเจ้าแล้วนะ ถ้าเจ้ายังมีแรงเหลือไปฟ้องท่านพี่ของเจ้าข้าจะไม่ห้ามปรามแม้สักคำ” เจตนิพัทธ์ช้อนตัวปักษธรเข้าไปในห้องที่ใช้พักผ่อนในยามค่ำคืน มือแกร่งใช้ไม้ขัดประตูเอาไว้จนแน่น ก่อนจะเดินย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อที่ไร้หนทางหลีกหนี
วัลยาณีบินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายหลังจากวิ่งหนีมาตุเรศออกมา เธอไม่อยากก้าวเดินแม้เพียงสักก้าว เพราะยามที่ฝ่าเท้าสัมผัสผืนดินความปวดร้าวบริเวณบั้นท้ายก็แล่นปราบขึ้นมา เธอบินไปตามเส้นทางที่มืดมิดแทนที่จะเป็นเส้นทางที่มีแสงสว่างเพียงเพราะไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา
บินไปได้สักพักเธอก็เลือกที่จะใช้แผ่นหลังพิงต้นไม้เป็นการหยุดพัก ขณะที่คอยระวังไม่ให้บั้นท้ายสัมผัสกับลำต้น หยาดน้ำตายังคงไหลรินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอทั้งโกรธและโมโหที่มาตุเรศไม่เชื่อเธอ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็โกรธตัวเองที่ไม่กล้ายอมรับอย่างสง่าผ่าเผย ถ้าเพียงแค่มาตุเรศของเธอเหมือนกับองค์รานีผู้เป็นพี่มากขึ้นอีกสักหน่อย เธอคงจะมีความกล้ามากกว่านี้ วัลยาณีได้แต่ยืนร้องไห้โดยไร้เสียงสะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน เธอทำเพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านใบหน้าไปเท่านั้น
“สาวน้อย ทำไมเจ้าถึงมาร้องไห้อยู่อย่างนี้เล่า?” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบดังผ่านความมืดขึ้นมา วัลยาณีรีบยกมือปาดน้ำตาทิ้งแล้วหยุดร้องไห้แทบจะทันที เธอไม่ชอบให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอ
“เจ้าเป็นใครกัน ขะ...ข้าไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย ตาของเจ้าคงจะฝ้าฟาง หรือไม่หูของเจ้าก็คงได้ยินผิดเพี้ยนเสียแล้วกระมัง” วัลยาณีเอ่ยเสียขุ่น ขณะมองหาที่มาของเสียงดังกล่าว
“ข้าอยู่ด้านล่างนี่ไงสาวน้อย ลงมาหาข้าสิ” เด็กน้อยขยับปีกเล็กๆ เพื่อพาตนเองลงมาจากต้นไม้ใหญ่ จึงเห็นเจ้างูเห่าตัวใหญ่เข้า เกล็ดของมันเป็นสีดำขลับตลอดทั้งร่าง นัยต์ตาสีเขียวเปล่งประกายแวววับเมื่อเธอขยับเข้าไปใกล้
“ใครทำอันใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจอย่างนั้นรึ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?” วัลยาณีที่ไม่เคยเห็นสัตว์พูดได้มาก่อนก็พยักหน้ารับ แล้วเล่าเรื่องราวให้เพื่อนใหม่ของตนฟัง
“เจ้าไม่คิดว่าเพื่อนของเจ้าเป็นคนฟ้องมาตุเรศของเจ้าบ้างรึสาวน้อย?” เจ้างูเห่าว่าพลางโบกหางไปมา
“ไม่มีทางหรอก วายุภัคเป็นภูตที่ดีและไม่มีวันกล่าวหาข้าเป็นอันขาด!” เด็กสาวตอบอย่างมาดมั่น
“จิตใจเป็นสิ่งที่ยากแท้จะหยั่งมิใช่หรือสาวน้อย มิเช่นนั้นเหตุใดเขาถึงสนใจไข่งี่เง่ามากกว่าสาวสวยอย่างเจ้าได้เล่า?” เจ้างูเห่าหรี่ตาสีเขียวของมันลง พลางแลบลิ้นสองแฉกฉกอากาศ
“เลิกเรียกข้าว่าสาวน้อยสักที ข้าไม่ชอบ วัลยาณีคือนามของข้า” ใบหน้าบูดบึ้งแสดงถึงความไม่พอใจอย่างเด่นชัด
“วัลยาณีอย่างนั้นรึ ช่างไพเราะยิ่งนัก ข้ามีนามว่าพยับหมอก ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ... ไปดื่มน้ำที่รังของข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยู่แถวนี้มานานแต่ไม่ยักมีใครผ่านมา เจ้าจะช่วยเป็นเพื่อนคุยกับข้าได้หรือไม่วัลยาณี” เด็กน้อยนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนตอบรับคำชวนนั้น พยับหมอกโบกหางเบาๆ ในอากาศเพียงสองสามที ลูกไฟดวงเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นตามรายทาง ลึกเข้าไปด้านในของป่า
“คราวหลังหากเจ้าอยากมาเยี่ยมข้าอีก เพียงแต่ตั้งดวงจิตนึกถึงข้า พงไพรจะนำทางเจ้ามาหาข้าเอง ที่สำคัญข้าสามารถจะปรากฎตัวได้หลังแสงตะวันลาลับแล้วเท่านั้น เจ้าคงไม่กลัวความมืดใช่หรือไม่” วัลยาณีตอบกลับอย่างฉุนๆ เมื่อรู้สึกว่าตนเองโดนดูถูกว่ากลัวความมืดมิด เจ้างูเห่าเอ่ยขอโทษแล้วส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ
วัลยาณีจากไปแล้ว จอกใสทรงสูงหลงเหลือหยาดน้ำสีแดงอยู่ด้านในอีกเล็กน้อย เจ้างูเห่าใช้ลิ้นเล็กๆ ไล้เลียขอบแก้วอย่างเชื่องช้า แล้วพลิกตัวเลื้อยเข้าไปด้านในห้อง มันใช้หางพันรอบก้านจอกอีกใบที่ใส่น้ำสีแดงเอาไว้จนเกือบเต็ม ยกจรดริมฝีปากแล้วดื่มกินทีละนิดจนหมด
“แล้วเจ้าจะต้องกลับมาหาข้า... ข้าจะรอ... วัลยาณี”
น้องคอมเอ๋อไปแล้วค่ะ ส่งไปซ่อมอยู่ นี่แอบจิ๊กคอมแม่มาใช้ค่ะ แหะๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงน้องภูตเล่าเรื่องเสียเป็นส่วนใหญ่ค่ะ
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 10
นั่งอ่านวนตอนพี่เอกยังเป็นไข่ 4-5 รอบกว่าจะเก็ต #ความแฟนตาซีทำร้ายนีทสมองช้าอย่างเราจริงๆ
เอ....... แล้วคุณพ่อรู้ว่าพี่เอกเป็นภูติรึเปล่าหว่า หรือไม่รู้? #ยังคงเป็นปริศนา
ปล.งูววววววววว =[]=
เอ....... แล้วคุณพ่อรู้ว่าพี่เอกเป็นภูติรึเปล่าหว่า หรือไม่รู้? #ยังคงเป็นปริศนา
ปล.งูววววววววว =[]=
น้ำไหล- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 172
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 10
สงสัยจะโดนคนใจร้ายเสียมสอนซะละมั่งเนี้ย
คุณเลื่อมประภัสสร โพสลงสม่ำเสมอมากๆ
ลงถี่ ไม่สั่นไม่ยาว พอดีๆ ลงตัวมาก ขอชื่นชมคะ
คุณเลื่อมประภัสสร โพสลงสม่ำเสมอมากๆ
ลงถี่ ไม่สั่นไม่ยาว พอดีๆ ลงตัวมาก ขอชื่นชมคะ
memoapp- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 46
Join date : 04/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 10
น้ำไหล พิมพ์ว่า:นั่งอ่านวนตอนพี่เอกยังเป็นไข่ 4-5 รอบกว่าจะเก็ต #ความแฟนตาซีทำร้ายนีทสมองช้าอย่างเราจริงๆ
เอ....... แล้วคุณพ่อรู้ว่าพี่เอกเป็นภูติรึเปล่าหว่า หรือไม่รู้? #ยังคงเป็นปริศนา
ปล.งูววววววววว =[]=
ขอโทษค่ะคุณน้ำไหล ภาษาเลื่อมอาจจะวกวนและวื้อวึงไปสักเล็กน้อย แถมเป็นเรื่องแรกที่แต่งแนวนี้อีกต่างหาก
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 10
ความจริงค่อยๆปรากฏขึ้น
รักกันตั้งแต่เป็นไข่เลยนะคู่นี้ >_<~
รักกันตั้งแต่เป็นไข่เลยนะคู่นี้ >_<~
Sier- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 107
Join date : 11/04/2014
Re: Fairy Tell - บทที่ 10
น่าสงสารน้องไข่...แทนที่จะได้ฟักอย่างสงบสุข (แต่ขืนเป็นงั้นนิยายเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น 555)
เปลี่ยนเรียกชื่อพี่เอกเป็นน้องไข่แทนดีกว่าเนาะ หุๆ
ส่วนเด็กน้อยวา น่าสงสาร นี่ล่ะน้า พ่อแม่เตือนให้ระวัง ถึงจะเป็นน้องไข่แต่ก็ชีวิตหนึ่ง ไม่หัดเกรงใจพ่อแม่เขาหนีบไปโน่นมานี่ พอเกิดเรื่องจะสำนึกเสียใจมันก็สายไปแล้วล่ะนะ!
หมึกจีน- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 81
Join date : 01/04/2014
Similar topics
» Fairy Tell - บทที่ 6
» Fairy Tell - บทที่ 7
» Fairy Tell - บทที่ 8
» Fairy Tell - บทที่ 9
» Fairy Tell - บทที่ 11
» Fairy Tell - บทที่ 7
» Fairy Tell - บทที่ 8
» Fairy Tell - บทที่ 9
» Fairy Tell - บทที่ 11
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|