ค้นหา
Latest topics
» Who’s the KING? } 16 [END]by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:30 pm
» Who’s The KING? } 15 - Special part form Pramuk.
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:25 pm
» Who’s the KING? } 15
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:23 pm
» Who’s the KING? } 14
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:09 pm
» Who’s the KING? } 13
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 8:01 pm
» Who’s the KING? } 12
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:50 pm
» Who’s the KING? } 11
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 6:40 pm
» Who’s the KING? } 10
by เลื่อมประภัสสร Sat Aug 09, 2014 5:59 pm
» Who’s the KING? } 9
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:39 pm
» Who’s the KING? } 8
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:31 pm
» Who’s the KING? } 7
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 2:19 pm
» Who’s the KING? } 6
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 1:49 pm
» Who’s the KING? } 5
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:57 am
» Who’s the KING? } 4
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #2 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:26 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /ตอนพิเศษ #1
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:13 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /14 (จบ)
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 11:03 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /13
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:54 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /12
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:43 am
» ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว /11
by น้ำไหล Wed Jul 30, 2014 10:33 am
Fairy Tell - บทนำ
+8
ฟ้าแลบ
ฝุ่นแดง
น้ำไหล
หมึกจีน
บัวโรย
sepzaa
ppm
เลื่อมประภัสสร
12 posters
หน้า 1 จาก 1
Fairy Tell - บทนำ
บทนำ
เฮ้อ...
เสียงทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่ายดังออกมาเป็นระยะจากบุคคลที่นั่งเท้าแขนอยู่บนเก้าอี้ตัวเขื่อง
ดวงตากลมโตเหม่อมองความเป็นไปภายนอกหน้าต่าง แต่ไม่ทันไรเจ้าของเก้าอี้กลับกระชากผ้าม่านสีเหลืองอ่อนมาปิดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ก่อนจะจำใจหันกลับมามองงานจำนวนมากที่ทอดกายเรียงรายอยู่บนโต๊ะแทน
ผ่านไปเพียงแค่ชั่วอึดใจเสียงถอนหายใจก็แว่วมาให้ได้ยินอีกระลอก
เจ้าของเก้าอี้ตัวเดิมตวัดสายตามองเจ้าเข็มสีดำที่กำลังทำตามหน้าที่ของมันอย่างสุดกำลัง พลางรัวนิ้วลงบนโต๊ะไม้ขัดมันราวกับจะเร่งให้เจ้าเข็มตัวน้อยทำหน้าที่ของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น
เฮ้อ...
สิ่งที่ชายหนุ่มสัมผัสได้มีแต่คำว่า เบื่อ และหน่าย ถ้าคนเราเบื่อแล้วตายกันได้ เขานี่แหละคงจะเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ล้วนแต่เห็นแต่สิ่งขัดหูขัดตาเขาไปเสียหมด ตู้ตรงนั้นมีฝุ่นจับ ดอกไม้ในแจกันตรงนั้นก็เอียง โต๊ะที่เขาใช้อยู่ก็ใหญ่เกินไป เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก็แข็งเสียเหลือเกิน แม้กระทั่ง…
ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อก
ไอ้น้องชายตัวดีที่กวนประสาทเขาได้ไม่เว้นแต่ละวัน เฮ้อ…
เพราะยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากอนุญาต เจ้าน้องชายร่างโปร่งก็โผล่หัวยุ่งๆ ออกมาจากหลังบานประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับพระอาทิตย์น้อยในเรื่องเทเลทับบี้ที่เจ้าตัวชอบดู แต่ใบหน้าอย่างนี้แหละที่น้อยคนนักจะได้เห็น เพราะปกติแล้วน้องชายของเขาถ้าไม่หน้าหงิกเป็นเป็ดโดนหยิกตูด ก็มักจะทำหน้าตายเหมือนคนโดนตัดเส้นประสาทยังไงยังงั้น...
แต่บางทีมันก็เปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเสียจนกระทั่งตัวเขาเองยังตามไม่ทัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นไบโพล่าหรือไตรโพล่ากันแน่ สักวันเขาคงจะต้องแอบพามันไปตรวจที่โรงพยาบาลให้ได้
“พี่เอก บ่ายสองวันนี้มีประชุมบอร์ดนะครับ อ้อ อย่าลืมทานข้าวกลางวัน แล้วก็...”
“พอเลยไอ้กันต์ ฉันว่าเลขาฉันหนักแล้วนะ เจอแกเข้าไปนี่เรียงลำดับสถานะไม่ถูกเลย ตกลงแกเป็นน้องหรือเมียฉันกันแน่ว่ะ” ชายหนุ่มวางปากกาด้ามโปรดลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้นอย่างเคืองๆ กับการย้ำเตือนความจำที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่ยังไม่เลิกกินนมจากขวดเสียด้วยซ้ำ
“ถ้าตอนนี้ล่ะก็ เป็นน้องสิครับ แต่ถ้าพี่เอกจะให้ผมเป็นเมียเนี่ย... ต้องคิดเยอะๆ นิดนึงนะครับ เพราะพี่ต้องเลี้ยงดูผมไปตลอดชีวิต แล้วก็ต้องคอยรักษาชีวิตตัวเองให้รอดจากเงื้อมมือสาวๆ ที่หลงใหลคลั่งไคล้ผม และที่สำคัญที่สุด... พี่เอกคงจะต้องกดผมให้ได้ก่อนนะครับ” อติกันต์ หรือไอ้กันต์ร่ายยาวขณะสาวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมใบหน้าแป้นแล้นที่น่าเอาแป้นรองเท้าไปประกบอยู่บนหน้ามันแทน
“ฉันไม่หน้ามืดลดตัวลงไปกดเสาไฟอย่างแกให้มันเสียความรู้สึกหรอก ผู้หญิงดีๆ ยังมีเป็นล้าน ไสหัวออกไปได้แล้วไปฉันจะได้รีบๆ ทำงานให้เสร็จสักที” เจ้าโบกมือไล่น้องชายยิกๆ ก่อนหันกลับมาให้ความสนใจกับงานที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“เออ เกือบลืม แล้วอย่าเคาะประตูแบบนั้นอีกนะเว้ย ฉันรำคาญ!!” เอกภักดิ์เงยหน้าขึ้นมาจากกองงานที่สูงกว่าศีรษะของเขาประมาณ 1 ไม้บรรทัด แล้วตะโกนไล่หลังคนที่กำลังจะเดินออกไป
“เชื่อก็โง่สิคร้าบพี่ชาย” น้องชายตัวแสบหันมาแลบลิ้นใส่ ก่อนจะแกล้งปิดประตูห้องเสียงดังๆ เพราะรู้ดีว่าเจ้าของห้องไม่ชอบใจเท่าไรนัก
“ไอ้เด็กเปรต คอยดูเหอะ ฉันจะจับแกมัดแล้วใส่พานส่งให้ไอ้ยุถึงที่เลย...” เอกภักดิ์ส่งเสียงลอดไรฟันออกมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับงานตรงหน้าต่อไป
กว่าที่ร่างสูงจะสะสางงานทั้งหมดเรียบร้อย ทั้งบริษัทก็ไร้วี่แววของผู้คนเสียแล้ว
ส่วนคนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็คงจะมีแค่คนในเครื่องแบบที่ใช้บริษัทเป็นที่พักสายตาในยามค่ำคืนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น...
แทบจะไม่ต้องเสียเวลามองหารถของตัวเองให้ยากเลย เพราะในยามนี้บริเวณที่จอดรถของบริษัทเหลือเพียงรถของเขาคันเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปเปิดประตูรถคันโปรด คลายปมเน็คไทสีเทอร์ควอยส์ออกเล็กน้อย พลางโยนกระเป๋าหนังเทียมสีดำใบโปรดลงบนเบาะข้างคนขับ ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน
เอกภักดิ์ผิวปากตามจังหวะเพลงขณะขับเจ้าเขียว หรือ Eco Car สุดที่รักมาเรื่อยๆ ตามทางอย่างไม่รีบร้อน ถึงแม้ว่าคนจำนวนมากมักจะคิดว่าเขาจะต้องขับรถหรูๆ เหมือนเจ้าน้องชายที่มักจะมาพร้อมกับรถสปอร์ต จากัวร์ เอฟ-ไทร์ สีแดงสด ซึ่งราคาก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร ก็แค่รถมันแพงกว่าคอนโตของเขาประมาณ 2 เท่าแค่นั้นเอ๊ง แต่ต่อให้แพงกว่านี้เขาก็คงไม่ได้สนใจมากมายเท่าไหร่นัก อาจจะบอกว่าเขาเป็นคนหัวดื้อนิดๆ ก็ได้ เพราะไม่ว่าอะไรที่เขาคิดแล้วว่ามันถูกเขาก็ยึดมั่นและทำตามสิ่งที่เขาคิดเสมอมา
ไม่นานนัก Eco Car สีเขียวสบายตาก็มาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้ๆ กับคอนโดที่ไม่ไกลจากบ้านของเอกภักดิ์เท่าไหร่นัก และสาเหตุที่เขาเลือกที่จะซื้อคอนโดอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของตัวเองก็เพราะเขาอยากลองออกมาใช้ชีวิตคนเดียว จึงตัดสินใจที่จะย้ายมาอยู่คอนโดดู แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะย้ายออกมาจากบ้านได้เขาก็ต้องเค้นสมองหาเหตุผลมาอ้างสารพัดสารพัน ลำพังแค่พ่อคนเดียวเขายังพอสู้รบปรบมือได้ ถ้าไม่มีไอ้น้องชายตัวแสบนั่นคอยยุยงส่งเสริม ทั้งขุดข้ออ้างต่างๆ มาทั้ง 7 คาบสมุทร ทั้งเป่าหูพ่อ ทั้งข่มขู่เขาสารพัด จนเขาเกือบจะไม่ได้ออกมาจากบ้านมา แต่ถึงจะได้ออกมาจากบ้านคอนโดของเขาก็อยู่ห่างจากบ้านไม่ถึง 3 กิโลเมตรอยู่ดี ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจเลยที่คอนโดเขามักจะปรากฏคนที่ไม่ได้รับเชิญอยู่บ่อยครั้ง จนเขาแทบอยากจะย้ายไปอยู่นอกโลกเสียให้ได้
หลังจากสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด เอกภักดิ์ก็บิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการทำงานและการขับรถ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัวหลังจากได้เห็นบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เขาชื่นชอบมากที่สุด คงเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ถ้าจะเรียกให้ชัดเจนก็เรียกว่าเกลียดเข้าเส้นเลยดีกว่า สวนสาธารณะที่มีเพียงความมืดมิด ความเงียบสงัด และเสียงสายน้ำที่หลั่งรินไปตามทางของมันที่ควรจะเป็น กับบรรยากาศสบายๆ จึงทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เอกภักดิ์ทรุดตัวลงนั่งบนชิงช้าแล้วใช้เท้าทั้งสองข้างยันพื้นดินที่อยู่ข้างใต้เพียงเบาๆ เท่านั้น ลมเย็นๆ ก็พากันกรูเข้ามาปะทะจนร่างสูงต้องถูมือของตัวเองไปมาเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเลือกที่ปิดเปลือกตาลง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะแผ่วเบาให้ล่องลอยไปกับสายลมหนาวราวกับว่าเขาได้ยินลมที่พัดผ่านส่งเสียงหยอกล้อกัน
ความทรงจำที่เขาเคยมี ณ สถานที่แห่งนี้ค่อยๆ หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง…
ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เขาได้พบกับความน่ารักที่จะค่อนไปทางน่าชังเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวผอมๆ หัวโตๆ ที่ดูไปแล้วลักษณะเหมือนกับถั่วงอกไม่มีผิดเพี้ยน ถึงแม้ว่ามันจะขัดกับความเป็นจริงว่าเด็กคนนั้นกินไปเยอะแค่ไหนในแต่ละวันก็ตามที
ถ้าถามเขาว่าน้องชายของเขากินเยอะแค่ไหน มันก็เยอะมากเสียจนครั้งนึงเขายอมควักเงินในกระปุกหมูแล้วเหมายาถ่ายพยาธิมาทั้งร้านให้น้องชายคนเดียวของเขากินก็แล้วกัน แต่ไม่วายโดนพ่อดุจนได้ เพราะไอ้เจ้ากันต์มันเอาไปฟ้องพ่อ หาว่าเขาจะฆ่ามันด้วยยาถ่ายพยาธิ เขาจึงสามารถทำได้เพียงตั้งข้อสมมติฐานอย่างง่ายๆ ว่าในท้องของคงมีหลุมดำขนาดย่อยๆ ฝังตัวอยู่เป็นแน่แท้
สวนสาธารณะแห่งนี้ยังมีความทรงจำของเขาซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ มากมาย ทั้งความสุข ความทุกข์ ความเศร้า หรือแม้กระทั่งความแปลกประหลาดใจจากการได้พบเจอบางอย่างที่จนปัจจุบันเขาก็ยังคงไม่สามารถอธิบายได้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขา สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับเขา หรือเป็นเพราะจินตนาการในวัยเด็กของเขากันแน่?
ในวันนั้น อากาศหนาวเย็นและท้องฟ้าก็เป็นสีหม่นเช่นเดียวกับวันนี้...
ทุกวัน เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมาที่สวนสาธารณะแห่งนี้และเล่นเครื่องเล่นมากมายราวกับสนุกสนานกับมันเสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาเบื่อมันแทบตาย แต่เมื่อเขาเล่น พ่อก็จะคอยเป็นห่วงเขา จนบางครั้งเขาก็เรียกร้องความสนใจของพ่อด้วยการทำให้ตัวเองบาดเจ็บเสียอย่างนั้น จนตามตัวมีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมด
ถ้าวันไหนเริ่มมืดแล้วเขายังกลับไม่ถึงบ้าน พ่อของเขาก็จะออกมาตามหา แม้ว่าพ่อจะยุ่งแค่ไหน แต่พ่อก็จะออกมาตามเขากลับบ้านเสมอ แม้ว่าบางครั้งจะมีถั่วงอกน้อยตามพ่อออกมาด้วยก็ตาม แต่นั่นก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เขาชอบเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นแห่งนี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็จะได้รู้ว่ายังคงมีคนรักและเป็นห่วงเขาอยู่ ถึงแม้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นเขาก็รับรู้ว่าวิธีเหล่านั้นมันไม่ถูกต้องนัก แต่เมื่อตอนเขายังคงเป็นแค่เด็กเล็กๆ เขาก็คิดได้แค่นั้นนั่นแหละ
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่ได้มาที่สวนสาธารณะนี้บ่อยๆ อีก...
วันนั้นเอกภักดิ์ออกมาเล่นเครื่องเล่นต่างๆ อย่างทุกวันตามปกติ ขณะกระชับเสื้อหนาวตัวโปรดให้แน่นขึ้นเนื่องจากความเย็นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง พลางแอบสอดส่ายสายตามองหาผู้เป็นพ่ออยู่เป็นระยะๆ จวบจนท้องฟ้าสีครามเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มจางๆ และค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นสีดำสนิทในที่สุด แต่พ่อก็ยังไม่มารับเขา หรือแม้กระทั่งเจ้าถั่วงอกเอง เขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
บางทีพ่ออาจจะยุ่ง เจ้าถั่วงอกอาจจะทำตัวงอแง หรือว่าบางที... พ่อกับเจ้าถั่วงอกนั่นจะไม่รักเขาแล้วกันแน่นะ
เด็กน้อยได้แต่ส่ายหน้าไปมาจนผมกระจาย ไม่หรอก คงไม่ใช่อย่างนั้น พ่อจะต้องมารับเขาแน่ๆ!! พ่อยังรักเขาอยู่! เพียงแต่ว่าวันนี้พ่อคงจะยุ่งมาก ก็แค่ยุ่งมากกว่าทุกๆ วันเท่านั้นเอง…
แต่หลังจากนั่งรออยู่พักใหญ่ เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาเลยแม้สักครั้ง
บางที... เขาอาจจะโดนทิ้งจริงๆ ซะแล้วล่ะมั้ง
เพียงแค่คิด น้ำตาก็พลันไหลออกมาโดยที่ไม่มีเสียงสะอื้น ราวกับว่าเขาเคยถูกทอดทิ้งมา ความทรงจำที่แสนลางเลือนจนเขาแทบจะแน่ใจได้ว่ามันคงเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ในบางครั้งเขาก็รู้สึกถึงมันได้ดีจนคิดว่าเขาเคยอยู่ในเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อน แต่ถ้าจะให้เขาต้องถูกทิ้งจริงๆ ล่ะก็ เขาก็ไม่เอาด้วยหรอกนะ
เขาทำอะไรผิดกันล่ะ ถ้าเขาทำผิด บอกเขาสิแล้วเขาจะปรับปรุงตัว ขอเพียงแค่... อย่าทิ้งเขาเอาไว้คนเดียวก็พอ
ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังกันเข้ามา ทั้งความกลัว ความหวาดหวั่น และความเศร้าโศก ราวกับคลื่นลมแรงที่กระแทกโขดหินอันแสนเปล่าเปลี่ยวกลางทะเลใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กน้อยได้แต่เหลียวมองไปท่ามกลางความมืดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหา ก่อนจะพยายามเปล่งเสียงเรียกคนอันเป็นที่รัก
“พ่อครับ พ่อ... พ่ออยู่ไหนครับ พ่อครับ!!!”
“เจ้าถั่วงอก เฮ้! นายอยู่แถวนี้หรือเปล่าเจ้าถั่วงอก!! กันต์ออกมาเถอะ พี่อยากกลับบ้านแล้วนะ” แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนมากแค่ไหน ก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนช้าๆ ในใจหมายมั่นจะกลับไปยังบ้านที่ตนอาศัยอยู่ แต่เพียงแค่คิดจะก้าวเท้าออกไป ขาของเขาก็สั่นมากกว่าที่เคยเป็น จนเขาไม่สามารถที่จะก้าวออกไปได้
ถึงแม้ว่าบ้านของเขาจะอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะแห่งนี้สักเท่าไรนัก แต่ครั้นจะเดินกลับบ้านไปเอง เด็กน้อยกลับรู้สึกกลัวยิ่งกว่า เขากลัว… กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วเขาอาจจะถูกไล่ออกมา และนั่นคงจะทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่านี้เสียอีก
เอกภักดิ์ทรุดตัวลงนั่ง ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วกอดเข่าตัวเองแน่น จากที่ไม่มีเสียงสะอื้นก็เริ่มมีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เด็กน้อยได้แต่เอ่ยสัญญากับตัวเองเบาๆ ว่าถ้าได้กลับบ้านอีกครั้งจะทำดีกับเจ้าถั่วงอกให้มากๆ และเขาก็จะกอดพ่อกับเจ้าถั่วงอกเอาไว้ให้แน่นๆ เลย
สิ่งน่าแปลกก็คือเรื่องราวหลังจากนี้เขากลับจำได้แค่เพียงลางๆ เท่านั้น
เขาจำได้แค่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เจอกับพ่อ พ่อบอกว่าที่มารับเขาช้าเป็นเพราะอติกันต์ไม่สบาย ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาเล็กทั้งสองข้างของเขาจะพาไปได้ แล้วเขาก็ได้เห็นภาพของน้องชายตัวแสบกำลังนอนหลับตาขมวดคิ้วอยู่บนเตียง
เอกภักดิ์พุ่งตัวเข้าไปหาแล้วรีบกุมมืออติกันต์เอาไว้ และบอกผู้เป็นพ่ออย่างแน่วแน่ว่าจะนอนเฝ้าอติกันต์ในคืนนั้น แม้ว่าพ่อของเขาจะพยายามห้ามปรามเขาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
ถึงแม้ว่าในวันรุ่งขึ้นเขาจะติดหวัดเจ้าตัวแสบ และถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงกินขนมของเจ้าตัวยุ่งที่หายเป็นปกติ แถมยังทำเศษขนมหกบนตัวเขาเป็นการขอบคุณที่นอนเฝ้าไข้เจ้าตัวทั้งคืน
ภาพที่เจ้าตัวเล็กฉีกยิ้มกว้าง พลางยื่นถุงขนมมาให้เขา ยังคงอยู่ในความทรงจำของเขามาจนทุกวันนี้
หลังจากนั้นเมื่อไหร่ที่เขามาที่สวนสาธารณะก็มักจะมีเจ้าตัวยุ่งคอยเกาะเขาออกมาด้วยเสมอๆ จนในที่สุดด้วยความเป็นห่วงน้องเขาจึงตัดสินใจที่จะเล่นกับอติกันต์อยู่ในบ้านแทน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่ตกอยู่ในห้วงความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัย สายตาคมสอดส่ายไปรอบบริเวณราวกับจะเก็บความทรงจำที่เหลืออยู่เอาไว้ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นแสงเรืองๆ ที่อยู่บริเวณพุ่มไม้ใกล้แม่น้ำ
เอกภักดิ์ขมวดคิ้วมุ่น ความรู้สึกราวกับว่าทำอะไรบางอย่างหายไปจากความทรงจำได้เอ่อล้นออกมา…
แสง...
แสงงั้นเหรอ? ใช่! ในตอนนั้นเขาจำได้ว่าเขาเห็นแสง… ดูเหมือนว่าก่อนที่พ่อจะมารับเขา เขาได้เจอกับอะไรสักอย่างที่มีแสง แล้วเขาก็คิดจะจับไปให้พ่อของเขาดูด้วย เขาคิดว่ามันคงจะเป็นหิ่งห้อยเช่นเดียวกับในครั้งนี้
อืม… แต่บางที... มันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่มีใครค้นพบมาก่อนก็เป็นไปได้นะ...
เอกภักดิ์อมยิ้มนิดๆ กับความคิดไร้สาระของตัวเอง ก่อนจะยันตัวขึ้นจากชิงช้าที่นั่งอยู่แล้วสาวเท้าเดินไปยังรถที่จอดเอาไว้...
เฮ้อ...
เสียงทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่ายดังออกมาเป็นระยะจากบุคคลที่นั่งเท้าแขนอยู่บนเก้าอี้ตัวเขื่อง
ดวงตากลมโตเหม่อมองความเป็นไปภายนอกหน้าต่าง แต่ไม่ทันไรเจ้าของเก้าอี้กลับกระชากผ้าม่านสีเหลืองอ่อนมาปิดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ก่อนจะจำใจหันกลับมามองงานจำนวนมากที่ทอดกายเรียงรายอยู่บนโต๊ะแทน
ผ่านไปเพียงแค่ชั่วอึดใจเสียงถอนหายใจก็แว่วมาให้ได้ยินอีกระลอก
เจ้าของเก้าอี้ตัวเดิมตวัดสายตามองเจ้าเข็มสีดำที่กำลังทำตามหน้าที่ของมันอย่างสุดกำลัง พลางรัวนิ้วลงบนโต๊ะไม้ขัดมันราวกับจะเร่งให้เจ้าเข็มตัวน้อยทำหน้าที่ของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น
เฮ้อ...
สิ่งที่ชายหนุ่มสัมผัสได้มีแต่คำว่า เบื่อ และหน่าย ถ้าคนเราเบื่อแล้วตายกันได้ เขานี่แหละคงจะเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ล้วนแต่เห็นแต่สิ่งขัดหูขัดตาเขาไปเสียหมด ตู้ตรงนั้นมีฝุ่นจับ ดอกไม้ในแจกันตรงนั้นก็เอียง โต๊ะที่เขาใช้อยู่ก็ใหญ่เกินไป เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก็แข็งเสียเหลือเกิน แม้กระทั่ง…
ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อก
ไอ้น้องชายตัวดีที่กวนประสาทเขาได้ไม่เว้นแต่ละวัน เฮ้อ…
เพราะยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากอนุญาต เจ้าน้องชายร่างโปร่งก็โผล่หัวยุ่งๆ ออกมาจากหลังบานประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับพระอาทิตย์น้อยในเรื่องเทเลทับบี้ที่เจ้าตัวชอบดู แต่ใบหน้าอย่างนี้แหละที่น้อยคนนักจะได้เห็น เพราะปกติแล้วน้องชายของเขาถ้าไม่หน้าหงิกเป็นเป็ดโดนหยิกตูด ก็มักจะทำหน้าตายเหมือนคนโดนตัดเส้นประสาทยังไงยังงั้น...
แต่บางทีมันก็เปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเสียจนกระทั่งตัวเขาเองยังตามไม่ทัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นไบโพล่าหรือไตรโพล่ากันแน่ สักวันเขาคงจะต้องแอบพามันไปตรวจที่โรงพยาบาลให้ได้
“พี่เอก บ่ายสองวันนี้มีประชุมบอร์ดนะครับ อ้อ อย่าลืมทานข้าวกลางวัน แล้วก็...”
“พอเลยไอ้กันต์ ฉันว่าเลขาฉันหนักแล้วนะ เจอแกเข้าไปนี่เรียงลำดับสถานะไม่ถูกเลย ตกลงแกเป็นน้องหรือเมียฉันกันแน่ว่ะ” ชายหนุ่มวางปากกาด้ามโปรดลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้นอย่างเคืองๆ กับการย้ำเตือนความจำที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่ยังไม่เลิกกินนมจากขวดเสียด้วยซ้ำ
“ถ้าตอนนี้ล่ะก็ เป็นน้องสิครับ แต่ถ้าพี่เอกจะให้ผมเป็นเมียเนี่ย... ต้องคิดเยอะๆ นิดนึงนะครับ เพราะพี่ต้องเลี้ยงดูผมไปตลอดชีวิต แล้วก็ต้องคอยรักษาชีวิตตัวเองให้รอดจากเงื้อมมือสาวๆ ที่หลงใหลคลั่งไคล้ผม และที่สำคัญที่สุด... พี่เอกคงจะต้องกดผมให้ได้ก่อนนะครับ” อติกันต์ หรือไอ้กันต์ร่ายยาวขณะสาวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมใบหน้าแป้นแล้นที่น่าเอาแป้นรองเท้าไปประกบอยู่บนหน้ามันแทน
“ฉันไม่หน้ามืดลดตัวลงไปกดเสาไฟอย่างแกให้มันเสียความรู้สึกหรอก ผู้หญิงดีๆ ยังมีเป็นล้าน ไสหัวออกไปได้แล้วไปฉันจะได้รีบๆ ทำงานให้เสร็จสักที” เจ้าโบกมือไล่น้องชายยิกๆ ก่อนหันกลับมาให้ความสนใจกับงานที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“เออ เกือบลืม แล้วอย่าเคาะประตูแบบนั้นอีกนะเว้ย ฉันรำคาญ!!” เอกภักดิ์เงยหน้าขึ้นมาจากกองงานที่สูงกว่าศีรษะของเขาประมาณ 1 ไม้บรรทัด แล้วตะโกนไล่หลังคนที่กำลังจะเดินออกไป
“เชื่อก็โง่สิคร้าบพี่ชาย” น้องชายตัวแสบหันมาแลบลิ้นใส่ ก่อนจะแกล้งปิดประตูห้องเสียงดังๆ เพราะรู้ดีว่าเจ้าของห้องไม่ชอบใจเท่าไรนัก
“ไอ้เด็กเปรต คอยดูเหอะ ฉันจะจับแกมัดแล้วใส่พานส่งให้ไอ้ยุถึงที่เลย...” เอกภักดิ์ส่งเสียงลอดไรฟันออกมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับงานตรงหน้าต่อไป
-------------------------------------------------------------------
กว่าที่ร่างสูงจะสะสางงานทั้งหมดเรียบร้อย ทั้งบริษัทก็ไร้วี่แววของผู้คนเสียแล้ว
ส่วนคนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็คงจะมีแค่คนในเครื่องแบบที่ใช้บริษัทเป็นที่พักสายตาในยามค่ำคืนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น...
แทบจะไม่ต้องเสียเวลามองหารถของตัวเองให้ยากเลย เพราะในยามนี้บริเวณที่จอดรถของบริษัทเหลือเพียงรถของเขาคันเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปเปิดประตูรถคันโปรด คลายปมเน็คไทสีเทอร์ควอยส์ออกเล็กน้อย พลางโยนกระเป๋าหนังเทียมสีดำใบโปรดลงบนเบาะข้างคนขับ ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน
เอกภักดิ์ผิวปากตามจังหวะเพลงขณะขับเจ้าเขียว หรือ Eco Car สุดที่รักมาเรื่อยๆ ตามทางอย่างไม่รีบร้อน ถึงแม้ว่าคนจำนวนมากมักจะคิดว่าเขาจะต้องขับรถหรูๆ เหมือนเจ้าน้องชายที่มักจะมาพร้อมกับรถสปอร์ต จากัวร์ เอฟ-ไทร์ สีแดงสด ซึ่งราคาก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร ก็แค่รถมันแพงกว่าคอนโตของเขาประมาณ 2 เท่าแค่นั้นเอ๊ง แต่ต่อให้แพงกว่านี้เขาก็คงไม่ได้สนใจมากมายเท่าไหร่นัก อาจจะบอกว่าเขาเป็นคนหัวดื้อนิดๆ ก็ได้ เพราะไม่ว่าอะไรที่เขาคิดแล้วว่ามันถูกเขาก็ยึดมั่นและทำตามสิ่งที่เขาคิดเสมอมา
ไม่นานนัก Eco Car สีเขียวสบายตาก็มาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้ๆ กับคอนโดที่ไม่ไกลจากบ้านของเอกภักดิ์เท่าไหร่นัก และสาเหตุที่เขาเลือกที่จะซื้อคอนโดอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของตัวเองก็เพราะเขาอยากลองออกมาใช้ชีวิตคนเดียว จึงตัดสินใจที่จะย้ายมาอยู่คอนโดดู แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะย้ายออกมาจากบ้านได้เขาก็ต้องเค้นสมองหาเหตุผลมาอ้างสารพัดสารพัน ลำพังแค่พ่อคนเดียวเขายังพอสู้รบปรบมือได้ ถ้าไม่มีไอ้น้องชายตัวแสบนั่นคอยยุยงส่งเสริม ทั้งขุดข้ออ้างต่างๆ มาทั้ง 7 คาบสมุทร ทั้งเป่าหูพ่อ ทั้งข่มขู่เขาสารพัด จนเขาเกือบจะไม่ได้ออกมาจากบ้านมา แต่ถึงจะได้ออกมาจากบ้านคอนโดของเขาก็อยู่ห่างจากบ้านไม่ถึง 3 กิโลเมตรอยู่ดี ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจเลยที่คอนโดเขามักจะปรากฏคนที่ไม่ได้รับเชิญอยู่บ่อยครั้ง จนเขาแทบอยากจะย้ายไปอยู่นอกโลกเสียให้ได้
หลังจากสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด เอกภักดิ์ก็บิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการทำงานและการขับรถ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัวหลังจากได้เห็นบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เขาชื่นชอบมากที่สุด คงเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ถ้าจะเรียกให้ชัดเจนก็เรียกว่าเกลียดเข้าเส้นเลยดีกว่า สวนสาธารณะที่มีเพียงความมืดมิด ความเงียบสงัด และเสียงสายน้ำที่หลั่งรินไปตามทางของมันที่ควรจะเป็น กับบรรยากาศสบายๆ จึงทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เอกภักดิ์ทรุดตัวลงนั่งบนชิงช้าแล้วใช้เท้าทั้งสองข้างยันพื้นดินที่อยู่ข้างใต้เพียงเบาๆ เท่านั้น ลมเย็นๆ ก็พากันกรูเข้ามาปะทะจนร่างสูงต้องถูมือของตัวเองไปมาเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเลือกที่ปิดเปลือกตาลง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะแผ่วเบาให้ล่องลอยไปกับสายลมหนาวราวกับว่าเขาได้ยินลมที่พัดผ่านส่งเสียงหยอกล้อกัน
ความทรงจำที่เขาเคยมี ณ สถานที่แห่งนี้ค่อยๆ หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง…
ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เขาได้พบกับความน่ารักที่จะค่อนไปทางน่าชังเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวผอมๆ หัวโตๆ ที่ดูไปแล้วลักษณะเหมือนกับถั่วงอกไม่มีผิดเพี้ยน ถึงแม้ว่ามันจะขัดกับความเป็นจริงว่าเด็กคนนั้นกินไปเยอะแค่ไหนในแต่ละวันก็ตามที
ถ้าถามเขาว่าน้องชายของเขากินเยอะแค่ไหน มันก็เยอะมากเสียจนครั้งนึงเขายอมควักเงินในกระปุกหมูแล้วเหมายาถ่ายพยาธิมาทั้งร้านให้น้องชายคนเดียวของเขากินก็แล้วกัน แต่ไม่วายโดนพ่อดุจนได้ เพราะไอ้เจ้ากันต์มันเอาไปฟ้องพ่อ หาว่าเขาจะฆ่ามันด้วยยาถ่ายพยาธิ เขาจึงสามารถทำได้เพียงตั้งข้อสมมติฐานอย่างง่ายๆ ว่าในท้องของคงมีหลุมดำขนาดย่อยๆ ฝังตัวอยู่เป็นแน่แท้
สวนสาธารณะแห่งนี้ยังมีความทรงจำของเขาซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ มากมาย ทั้งความสุข ความทุกข์ ความเศร้า หรือแม้กระทั่งความแปลกประหลาดใจจากการได้พบเจอบางอย่างที่จนปัจจุบันเขาก็ยังคงไม่สามารถอธิบายได้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขา สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับเขา หรือเป็นเพราะจินตนาการในวัยเด็กของเขากันแน่?
ในวันนั้น อากาศหนาวเย็นและท้องฟ้าก็เป็นสีหม่นเช่นเดียวกับวันนี้...
-------------------------------------------------------------------
ทุกวัน เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมาที่สวนสาธารณะแห่งนี้และเล่นเครื่องเล่นมากมายราวกับสนุกสนานกับมันเสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาเบื่อมันแทบตาย แต่เมื่อเขาเล่น พ่อก็จะคอยเป็นห่วงเขา จนบางครั้งเขาก็เรียกร้องความสนใจของพ่อด้วยการทำให้ตัวเองบาดเจ็บเสียอย่างนั้น จนตามตัวมีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมด
ถ้าวันไหนเริ่มมืดแล้วเขายังกลับไม่ถึงบ้าน พ่อของเขาก็จะออกมาตามหา แม้ว่าพ่อจะยุ่งแค่ไหน แต่พ่อก็จะออกมาตามเขากลับบ้านเสมอ แม้ว่าบางครั้งจะมีถั่วงอกน้อยตามพ่อออกมาด้วยก็ตาม แต่นั่นก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เขาชอบเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นแห่งนี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็จะได้รู้ว่ายังคงมีคนรักและเป็นห่วงเขาอยู่ ถึงแม้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นเขาก็รับรู้ว่าวิธีเหล่านั้นมันไม่ถูกต้องนัก แต่เมื่อตอนเขายังคงเป็นแค่เด็กเล็กๆ เขาก็คิดได้แค่นั้นนั่นแหละ
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่ได้มาที่สวนสาธารณะนี้บ่อยๆ อีก...
วันนั้นเอกภักดิ์ออกมาเล่นเครื่องเล่นต่างๆ อย่างทุกวันตามปกติ ขณะกระชับเสื้อหนาวตัวโปรดให้แน่นขึ้นเนื่องจากความเย็นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง พลางแอบสอดส่ายสายตามองหาผู้เป็นพ่ออยู่เป็นระยะๆ จวบจนท้องฟ้าสีครามเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มจางๆ และค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นสีดำสนิทในที่สุด แต่พ่อก็ยังไม่มารับเขา หรือแม้กระทั่งเจ้าถั่วงอกเอง เขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
บางทีพ่ออาจจะยุ่ง เจ้าถั่วงอกอาจจะทำตัวงอแง หรือว่าบางที... พ่อกับเจ้าถั่วงอกนั่นจะไม่รักเขาแล้วกันแน่นะ
เด็กน้อยได้แต่ส่ายหน้าไปมาจนผมกระจาย ไม่หรอก คงไม่ใช่อย่างนั้น พ่อจะต้องมารับเขาแน่ๆ!! พ่อยังรักเขาอยู่! เพียงแต่ว่าวันนี้พ่อคงจะยุ่งมาก ก็แค่ยุ่งมากกว่าทุกๆ วันเท่านั้นเอง…
แต่หลังจากนั่งรออยู่พักใหญ่ เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาเลยแม้สักครั้ง
บางที... เขาอาจจะโดนทิ้งจริงๆ ซะแล้วล่ะมั้ง
เพียงแค่คิด น้ำตาก็พลันไหลออกมาโดยที่ไม่มีเสียงสะอื้น ราวกับว่าเขาเคยถูกทอดทิ้งมา ความทรงจำที่แสนลางเลือนจนเขาแทบจะแน่ใจได้ว่ามันคงเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ในบางครั้งเขาก็รู้สึกถึงมันได้ดีจนคิดว่าเขาเคยอยู่ในเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อน แต่ถ้าจะให้เขาต้องถูกทิ้งจริงๆ ล่ะก็ เขาก็ไม่เอาด้วยหรอกนะ
เขาทำอะไรผิดกันล่ะ ถ้าเขาทำผิด บอกเขาสิแล้วเขาจะปรับปรุงตัว ขอเพียงแค่... อย่าทิ้งเขาเอาไว้คนเดียวก็พอ
ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังกันเข้ามา ทั้งความกลัว ความหวาดหวั่น และความเศร้าโศก ราวกับคลื่นลมแรงที่กระแทกโขดหินอันแสนเปล่าเปลี่ยวกลางทะเลใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กน้อยได้แต่เหลียวมองไปท่ามกลางความมืดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหา ก่อนจะพยายามเปล่งเสียงเรียกคนอันเป็นที่รัก
“พ่อครับ พ่อ... พ่ออยู่ไหนครับ พ่อครับ!!!”
“เจ้าถั่วงอก เฮ้! นายอยู่แถวนี้หรือเปล่าเจ้าถั่วงอก!! กันต์ออกมาเถอะ พี่อยากกลับบ้านแล้วนะ” แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนมากแค่ไหน ก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนช้าๆ ในใจหมายมั่นจะกลับไปยังบ้านที่ตนอาศัยอยู่ แต่เพียงแค่คิดจะก้าวเท้าออกไป ขาของเขาก็สั่นมากกว่าที่เคยเป็น จนเขาไม่สามารถที่จะก้าวออกไปได้
ถึงแม้ว่าบ้านของเขาจะอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะแห่งนี้สักเท่าไรนัก แต่ครั้นจะเดินกลับบ้านไปเอง เด็กน้อยกลับรู้สึกกลัวยิ่งกว่า เขากลัว… กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วเขาอาจจะถูกไล่ออกมา และนั่นคงจะทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่านี้เสียอีก
เอกภักดิ์ทรุดตัวลงนั่ง ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วกอดเข่าตัวเองแน่น จากที่ไม่มีเสียงสะอื้นก็เริ่มมีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เด็กน้อยได้แต่เอ่ยสัญญากับตัวเองเบาๆ ว่าถ้าได้กลับบ้านอีกครั้งจะทำดีกับเจ้าถั่วงอกให้มากๆ และเขาก็จะกอดพ่อกับเจ้าถั่วงอกเอาไว้ให้แน่นๆ เลย
สิ่งน่าแปลกก็คือเรื่องราวหลังจากนี้เขากลับจำได้แค่เพียงลางๆ เท่านั้น
เขาจำได้แค่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เจอกับพ่อ พ่อบอกว่าที่มารับเขาช้าเป็นเพราะอติกันต์ไม่สบาย ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาเล็กทั้งสองข้างของเขาจะพาไปได้ แล้วเขาก็ได้เห็นภาพของน้องชายตัวแสบกำลังนอนหลับตาขมวดคิ้วอยู่บนเตียง
เอกภักดิ์พุ่งตัวเข้าไปหาแล้วรีบกุมมืออติกันต์เอาไว้ และบอกผู้เป็นพ่ออย่างแน่วแน่ว่าจะนอนเฝ้าอติกันต์ในคืนนั้น แม้ว่าพ่อของเขาจะพยายามห้ามปรามเขาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
ถึงแม้ว่าในวันรุ่งขึ้นเขาจะติดหวัดเจ้าตัวแสบ และถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงกินขนมของเจ้าตัวยุ่งที่หายเป็นปกติ แถมยังทำเศษขนมหกบนตัวเขาเป็นการขอบคุณที่นอนเฝ้าไข้เจ้าตัวทั้งคืน
ภาพที่เจ้าตัวเล็กฉีกยิ้มกว้าง พลางยื่นถุงขนมมาให้เขา ยังคงอยู่ในความทรงจำของเขามาจนทุกวันนี้
หลังจากนั้นเมื่อไหร่ที่เขามาที่สวนสาธารณะก็มักจะมีเจ้าตัวยุ่งคอยเกาะเขาออกมาด้วยเสมอๆ จนในที่สุดด้วยความเป็นห่วงน้องเขาจึงตัดสินใจที่จะเล่นกับอติกันต์อยู่ในบ้านแทน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่ตกอยู่ในห้วงความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัย สายตาคมสอดส่ายไปรอบบริเวณราวกับจะเก็บความทรงจำที่เหลืออยู่เอาไว้ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นแสงเรืองๆ ที่อยู่บริเวณพุ่มไม้ใกล้แม่น้ำ
เอกภักดิ์ขมวดคิ้วมุ่น ความรู้สึกราวกับว่าทำอะไรบางอย่างหายไปจากความทรงจำได้เอ่อล้นออกมา…
แสง...
แสงงั้นเหรอ? ใช่! ในตอนนั้นเขาจำได้ว่าเขาเห็นแสง… ดูเหมือนว่าก่อนที่พ่อจะมารับเขา เขาได้เจอกับอะไรสักอย่างที่มีแสง แล้วเขาก็คิดจะจับไปให้พ่อของเขาดูด้วย เขาคิดว่ามันคงจะเป็นหิ่งห้อยเช่นเดียวกับในครั้งนี้
อืม… แต่บางที... มันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่มีใครค้นพบมาก่อนก็เป็นไปได้นะ...
เอกภักดิ์อมยิ้มนิดๆ กับความคิดไร้สาระของตัวเอง ก่อนจะยันตัวขึ้นจากชิงช้าที่นั่งอยู่แล้วสาวเท้าเดินไปยังรถที่จอดเอาไว้...
-------------------------------------------------------------------
บทนำแลดูอ้อมโลกและเวิ่นเว้อไปไกลทีเดียวเชียว เรื่องนี้จะออกแนวแฟนตาซีนิดๆ ซึ่งยังไม่เคยลองแต่งเลยค่ะ
พล็อตมีมานานแล้ว แต่ก็มีแค่พล็อตแบบขอบๆ จริงๆ ยังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ จะพยายามเข็นให้จบให้จงได้ค่ะ!!
รถอติกันต์ค่ะ
รถเอกภักดิ์
แก้ไขล่าสุดโดย เลื่อมประภัสสร เมื่อ Sun Apr 20, 2014 2:27 pm, ทั้งหมด 6 ครั้ง
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
แอบสงสัย เจตนาใช้ Tell ที่แปลว่า พูด บอก อะไรงี้ใช่เปล่าอ่ะ
ถ้าใช้ปกติมันจะเป็น Fairytale คือเรื่องเล่าแนวแฟนตาซี
หรือถ้าอย่างในการ์ตูนมันจะเป็น Fariytail ที่แปลว่าหาง
fairytale
n 1: a story about fairies; told to amuse children [syn:
{fairytale}, {fairy tale}, {fairy story}]
2: an interesting but highly implausible story; often told as an
excuse [syn: {fairytale}, {fairy tale}, {fairy story}, {cock-
and-bull story}, {song and dance}]
ถ้าใช้ปกติมันจะเป็น Fairytale คือเรื่องเล่าแนวแฟนตาซี
หรือถ้าอย่างในการ์ตูนมันจะเป็น Fariytail ที่แปลว่าหาง
fairytale
n 1: a story about fairies; told to amuse children [syn:
{fairytale}, {fairy tale}, {fairy story}]
2: an interesting but highly implausible story; often told as an
excuse [syn: {fairytale}, {fairy tale}, {fairy story}, {cock-
and-bull story}, {song and dance}]
ppm- Admin
- จำนวนข้อความ : 47
Join date : 13/04/2013
Re: Fairy Tell - บทนำ
แนวแฟนตาซีเวิ่นเว้อหลุดโลกเหรอคะ. เหมือนจะมีสองคู่ชู้ชื่น?? จะรออ่านนะคะ.…^^
sepzaa- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 15
Join date : 28/03/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
แนวนี้น่าสนใจมากๆค่ะ //ดี๊ด๊า (นั่งจิ้นกันxเอก #โดนทุ่ม)
(วิ่งเข้ามาส่งกำลังใจ)
ปล. คุณเลื่อมคะ เรื่องชื่อเรื่อง บัวเคยมีเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งคล้ายแบบนี้เลย ตอนแรกบัวใช้ The Fairy does no tell แต่ก็มีพี่นักอ่านมาแนะว่าความจริงใช้ The Fairy does not tale ก็ได้ พี่นักอ่านเขาบอกว่ามันตีความได้คล้ายๆกันค่ะ คหสต.บัวคิดว่า tale ดูสวยกว่า เลยเปลี่ยนตามที่พี่เขาบอก
(วิ่งเข้ามาส่งกำลังใจ)
ปล. คุณเลื่อมคะ เรื่องชื่อเรื่อง บัวเคยมีเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งคล้ายแบบนี้เลย ตอนแรกบัวใช้ The Fairy does no tell แต่ก็มีพี่นักอ่านมาแนะว่าความจริงใช้ The Fairy does not tale ก็ได้ พี่นักอ่านเขาบอกว่ามันตีความได้คล้ายๆกันค่ะ คหสต.บัวคิดว่า tale ดูสวยกว่า เลยเปลี่ยนตามที่พี่เขาบอก
บัวโรย- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 23
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
อ่านแล้วเหมือนจะเป็นแนวพี่น้องค้ำคอร์ (หรือเปล่า) แต่ก็มีอีกชื่อตัวละครหนึ่ง โผล่มาให้ได้จิ้นอีก....อืม ยังไงก็ได้ค่ะ ขอแค่ให้พี่เอกโดนกดก็พอ (อิ ๆ)
ยิ่งอ่าน เค้าก็อยากให้พี่เอกเป็นเคะอ่ะ ออร่าเคะของพี่เอกมันพลุ่งพล่านยังไงไม่รู้ หุ ๆ
รออ่านอยู่นะคะ ว่าจะเป็นแฟนตาซีแนวไหน ^^
ยิ่งอ่าน เค้าก็อยากให้พี่เอกเป็นเคะอ่ะ ออร่าเคะของพี่เอกมันพลุ่งพล่านยังไงไม่รู้ หุ ๆ
รออ่านอยู่นะคะ ว่าจะเป็นแฟนตาซีแนวไหน ^^
หมึกจีน- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 81
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
แอร๊ ปู้จายชื่อเอกนี่น่ารักทุกคนเลยใช่มั้ย //q//
ถั่วงอก...
ถั่วงอก...
น้ำไหล- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 172
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
ใช่ค่ะ เจตนาใช้ Tell ตามที่แอดมินว่าเลยค่ะ
อุ๊ย มีคนอยากให้เอกโดนกดด้วย ความสูงไม่มีผลในแนวราบนะคะ หึหึ
อุ๊ย มีคนอยากให้เอกโดนกดด้วย ความสูงไม่มีผลในแนวราบนะคะ หึหึ
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
อยากได้แนวพี่น้อง ฮุ ๆ
นั่นเป็ฯความคิดที่ไม่สามารถจะลบมันได้ ตลอดทั้งเรื่อง ฮา....
นั่นเป็ฯความคิดที่ไม่สามารถจะลบมันได้ ตลอดทั้งเรื่อง ฮา....
ฝุ่นแดง- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 49
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
ชอบสำนวนจังเลยครับ คุณพี่ชายเป็นเมะหรือเคะน้า~ ผมแอบเชียร์ให้เคะนะ อยากอ่านเมะหน้าสวยอยู่ (ขำ)
เอ้อ มีเจอคำผิดสองที่นะครับ
ที่หลงไหลคลั่งไคล้ผม
เด็กน้อยได้แต่เอยสัญญากับตัวเองเบาๆ ว่าถ้าได้กลับบ้านอีกครั้ง
เอ้อ มีเจอคำผิดสองที่นะครับ
ที่หลงไหลคลั่งไคล้ผม
เด็กน้อยได้แต่เอยสัญญากับตัวเองเบาๆ ว่าถ้าได้กลับบ้านอีกครั้ง
ฟ้าแลบ- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 23
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
แอบจิ้นคู่พี่น้องงง ขอเป็นคู่พี่น้อง >///<
หงส์ดิน- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 32
Join date : 07/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
ขอบคุณค่ะ แหะๆ ^^ อึ้งมากทุกคนมาอวยพี่น้อง
แต่ไม่มีความสามารถกับแนวพี่น้องจริงๆ ค่ะ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเอามากๆ
แต่ก็เคยอ่านนะคะ รัชทายาท ทำเอากรี๊ดไปสามวันเจ็ดวัน
แต่ไม่มีความสามารถกับแนวพี่น้องจริงๆ ค่ะ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเอามากๆ
แต่ก็เคยอ่านนะคะ รัชทายาท ทำเอากรี๊ดไปสามวันเจ็ดวัน
เลื่อมประภัสสร- นักเขียน
- จำนวนข้อความ : 192
Join date : 01/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
^
^
ตั้งใจมาอวยคู่พี่น้องอีกคน แต่คงจะหมดสิทธิ์สินะคะ
อยากให้คุณน้องกดพี่เอกจัง เฮ้อ (เลียนแบบตาเอก *หัวเราะ)
แต่ถ้าไม่ใช่คู่พี่น้องก็แสดงว่าจะมีบุคคลที่ 3 ที่เกี่ยวข้องกับแสงโผล่มาสินะ
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ
^
ตั้งใจมาอวยคู่พี่น้องอีกคน แต่คงจะหมดสิทธิ์สินะคะ
อยากให้คุณน้องกดพี่เอกจัง เฮ้อ (เลียนแบบตาเอก *หัวเราะ)
แต่ถ้าไม่ใช่คู่พี่น้องก็แสดงว่าจะมีบุคคลที่ 3 ที่เกี่ยวข้องกับแสงโผล่มาสินะ
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ
Freezea- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 50
Join date : 31/03/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
อ่านแล้วออกแนวแฟนตาซีแบบอบอุ่นนะ
แหมพี่น้องคู่นี้รักกันดีจังเลยยยย
ดูคุณพี่ออกจะดูเบื่อๆรำคาญคุนน้องแต่ก็ดูเป็นห่วงเป็นใยดีจัง
แหมพี่น้องคู่นี้รักกันดีจังเลยยยย
ดูคุณพี่ออกจะดูเบื่อๆรำคาญคุนน้องแต่ก็ดูเป็นห่วงเป็นใยดีจัง
13cotton13- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 129
Join date : 03/04/2014
Re: Fairy Tell - บทนำ
อ่านชื่อผ่านครั้งแรกนึกว่าโดจินแฟรีเทล^^"
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีคะ อ่านได้ลื่น เรื่อยๆ
ขอคอมเมนต์เล็กน้อยนะคะ
" เจ้าโบกมือไล่น้องชายยิกๆ "
ตอนแรกนึกว่าคนพูดชื่อเจ้าซะอีก
" ความรู้สึกราวกับว่าทำอะไรบางอย่างหายไปจากความทรงจำได้เอ่อล้นออกมา… "
อ่านหลายรอบเลยอะกว่าจะเข้าใจ
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีคะ อ่านได้ลื่น เรื่อยๆ
ขอคอมเมนต์เล็กน้อยนะคะ
" เจ้าโบกมือไล่น้องชายยิกๆ "
ตอนแรกนึกว่าคนพูดชื่อเจ้าซะอีก
" ความรู้สึกราวกับว่าทำอะไรบางอย่างหายไปจากความทรงจำได้เอ่อล้นออกมา… "
อ่านหลายรอบเลยอะกว่าจะเข้าใจ
Sier- นักอ่าน
- จำนวนข้อความ : 107
Join date : 11/04/2014
Similar topics
» บทนำ ภาคเทพมังกร
» รักเกินห้ามใจ [บทนำ]
» Monster Guild - สมาพันธ์สัตว์ประหลาด - บทนำ
» "ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว" : บทนำ
» ตามรัก...ตราบนิรันดร์ (บทนำ)
» รักเกินห้ามใจ [บทนำ]
» Monster Guild - สมาพันธ์สัตว์ประหลาด - บทนำ
» "ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว" : บทนำ
» ตามรัก...ตราบนิรันดร์ (บทนำ)
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|